ผักกาดหอม
ขี้จุ๊นี่นา….
วันก่อนโน้น “เพนกวิน” ประกาศ อดข้าว ดื่มแต่น้ำ จนกว่าจะได้รับการประกันตัว ก็เป็นห่วงอยู่ว่าจะอดได้กี่วัน เพราะแนวโน้ม ยังต้องอยู่ในเรือนจำอีกนาน
นี่…โซเชียลเขาเอามาแฉ ของกินของใช้ ๑๖ รายการ
๑.กาแฟ 3 in 1 ซูเปอร์
๒.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (มาม่า)
๓.โจ๊กคัพ (มาม่า)
๔.ไวตามิ้ลค์
๕.นมไทย-เดนมาร์ค
๖.น้ำดื่ม ๑,๕๐๐ ซีซี
๗.น้ำอัดลม (บิ๊ก โคล่า)
๘.น้ำผักผลไม้ ยูนิฟ
๙.ปลากระป๋องราดพริก
๑๐.ปลากระป๋องโรซ่า/ปุ้มปุ้ย
๑๑.หมูหย็องกรอบ
๑๒.หอยลาย ๓ รส
๑๓.ขนมเอลเซ่
๑๔.กล้วยตาก
๑๕.ผ้าปิดจมูก ๔ ชิ้น
๑๖.ถุงพลาสติกใหญ่
เป็นรายละเอียดในใบเสร็จรับเงิน ร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔
ชื่อผู้รับคือ…พริษฐ์ ชิวารักษ์
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๑๓ บาทถ้วน
ไม่ได้จับผิดอะไรครับ
แค่จะบอกว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำนั้นยากลำบาก ผู้ต้องหา ผู้ต้องขัง นักโทษ จำนวนมากแทบไม่มีโอกาสชื้อของจากร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง
พวกที่ไม่มีเงิน ไม่มีญาติมาเยี่ยม จบข่าว…รอคนอื่นเผื่อแผ่อย่างเดียว
ส่วน อานนท์ เพนกวิน ไผ่ ไมค์ รุ้ง ไม่ขาด!
ก็ฝากชาว ๓ นิ้วช่วยทีเถอะ เรียกร้องเรื่องความเหลื่อมล้ำในคุกให้ที
อีกประเด็นสำคัญคือ เดือนมีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม อากาศร้อนมาก
โดยเฉพาะกลางคืนสภาพไม่ต่างนอนอบซาวน่า
ร้อนจนไขมันละลาย
ครับ…คนที่อยู่ข้างนอก ก่อนทำอะไรควรคิดเยอะๆ อย่าเสพติดมวลชนแล้วหลงว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทำอะไรถูกต้องหมด
ก็อย่างที่เห็น ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ศาลวางเงื่อนไขประกันตัว ก็ไม่สนใจ ลำพองไปตามเสียงยุของมวลชน-โซเชียล สุดท้ายไม่มีใครช่วยได้
มันน่าหงุดหงิดอยู่นะกับการต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำตอนหน้าร้อน
บิ๊ก โคล่า-ไวตามิ้ลค์ ไม่น่าจะเอาอยู่
คนอยู่ในคุกถึงได้ดิ้นรนจะออกมา
“เพนกวิน” ใช้วิธีอดข้าวประท้วง
“อานนท์” อ้างเหตุกลัวถูกฆ่า
อ้างว่านักฆ่าถูกส่งเข้าคุกไปแล้ว
ไอ้คนอยู่นอกคุกก็ยังเล่นเอาเถิด ไม่เห็นใจคนอยู่ในคุกเลย
วานซืน “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เปิดห้องพูดคุยทางแอปพลิเคชัน Clubhouse ในหัวข้อ “ราษฎรที่ถูกจองจำ” บอกเลยสุดๆ
ก็ไม่รู้ใช้กฎหมายตำราไหน แต่ตอนนี้เริ่มไม่แปลกใจ “ปิยบุตร” ให้ความเห็นทางกฎหมาย แล้วตายหมู่ทุกที
“ปิยบุตร” พูดถึงสิทธิการได้ประกันตัวดังนี้ครับ…
“…เหตุแห่งการไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวมีแค่ ๕ ข้อ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเหตุในอนาคต แต่ข้อโต้แย้งดังกล่าวยืนอยู่บนเหตุในอดีต สิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวต้องเป็นพื้นฐานอันดับแรก ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ในกรณีที่จำเลยไปกระทำการซ้ำ ตำรวจก็ต้องตั้งข้อหาเป็นอีกคดีหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหามาในอดีต เป็นคนละกรรมคนละการกระทำกัน การปล่อยตัวชั่วคราวตามหลักไม่มีข้อใดระบุว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของการทำให้คนหลาบจำ ไม่ใช่การใช้เพื่อดัดสันดาน
ถ้าหากจะบอกว่าไม่อยากให้ปล่อยตัวไป ปล่อยตัวไปแล้วเดี๋ยวทำผิดอีก คุณต้องเขียนใน ป.วิอาญาฯ สิ ว่าเหตุแห่งการไม่ปล่อยตัวชั่วคราวเพราะกลัวออกไปแล้วทำผิดอีก
คำถามคือคำว่า ‘ทำผิดอีก’ คุณรู้ได้อย่างไร
คำว่าทำผิดศาลต้องพิพากษา ไม่ใช่ตำรวจกล่าวหาแล้วถือว่าทำผิดแล้ว นี่คือจินตนาการมาเอง เหตุเขียนขึ้นมาเอง
คุณถูกกล่าวหาว่าทำผิด ๑๑๒ คุณกำลังสู้คดีอยู่ คุณก็ต้องได้รับการปล่อยตัว แล้วคุณได้รับการปล่อยตัวไป คุณไปทำตามที่ถูกกล่าวหาอีกก็เป็นอีกคดีหนึ่ง มันคนละเรื่องกัน…”
ถามจริงเหอะ มีใครไม่เข้าใจเรื่อง “ทำผิดซ้ำบ้าง”
กรณีแกนนำม็อบ ๓ นิ้วทำผิด ม.๑๑๒ ม.๑๑๖ ซ้ำซาก ศาลให้ประกันตัว ก็ขึ้นเวทีปราศรัยทำผิดซ้ำ เขียนเฟซบุ๊กก่อความผิดเดิมๆ ซ้ำซาก
ศาลท่านเป็นมนุษย์ครับไม่ใช่เครื่องจักร
ท่านสามารถพิเคราะห์ได้ว่า ผู้ต้องหาจะไปทำความผิดซ้ำหรือไม่ เนื่องจากพฤติกรรมก่อนหน้ามันบ่งบอก
ถ้ามีคนมาบอกว่า “ปิยบุตร” ด่ารัฐบาลซ้ำๆ ไม่ได้ เพราะศาลยังไม่ตัดสินว่ารัฐบาลมีความผิด
จะว่าไง?
ข้อความตบท้ายของ “ปิยบุตร” ฟังแล้วสงสารเด็กๆ ที่ได้ฟังครับ
“…คุณอาจจะเอาเขาไปขังได้หมด คุณอาจจะลงโทษเขาได้หมด แต่แล้วอย่างไร จะมีคนเหล่านี้รุ่นสู่รุ่นต่อไปเรื่อยๆ ที่เขาจะมีทัศนคติกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกแบบหนึ่ง แล้วเขาจะไม่เปลี่ยนแล้ว
เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอดีต
แล้วครั้งนี้หากบาดแผลของคนระหว่างรุ่นร้าวลึกมากขึ้น กว่าจะรู้สึกตัวกลับลำมาแก้ไข ผมเกรงว่าจะไม่ได้ผล
วันหนึ่งหากจะย้อนมาใช้มาตรการแบบ ๖๖/๒๓ ในอดีตก็อาจไม่ได้ผลแล้ว สายเกินไปแล้ว
วันนี้ยังมีโอกาสที่จะหาทางรอมชอมต่อกัน ก็หวังว่าวันหนึ่งคนที่มีอำนาจจะเริ่มคิดกันได้ว่า วิธีการที่ท่านทำอยู่มันไม่ได้หรอก…”
ครับ…นี่แหละครับคนที่ต้อนเด็กเข้าคุก.