15 มีนาคม 2564 นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย แนะ ส.ส.พลังประชารัฐ ให้เลิกนั่งอ่านข่าว หันมามองและสัมผัสโลกความเป็นจริง เศรษฐกิจไทยไม่ได้ดำดิ่งเพราะเศรษฐกิจโลก แต่เพราะทีมเศรษฐกิจไม่มีประสิทธิภาพ นายกฯ ยังไม่ฉีดวัคซีน หันไปมองเพื่อนบ้าน เวียดนามเศรษฐกิจพุ่งปี 59-63 จีดีพีสูงที่สุดในโลกแซงหน้าไทยไม่เห็นฝุ่น ซัดกลับ 2 ปีที่ผ่านมาขายฝันจนประชาชนหันมาทวงนโยบายที่หาเสียงไว้จะปล่อยให้ฝันค้างไปถึงไหน
“เริ่มจากประเด็นที่คณะทำงานเศรษฐกิจออกมาวิพากษ์การทำงาน และการพูดของ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ออกมาระบุว่า เศรษฐกิจปี 2563 ติดลบถึง 6.1% ต่ำสุดในรอบ 22 ปี คือ ความสำเร็จ และยังบอกว่าปีนี้จะเศรษฐกิจจะฟื้น 4 % ซึ่งขัดกับความเป็นไปได้จริง
โดยสิ่งที่ทำได้ได้จริงควรเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจที่มีฝีมือมาแก้ปัญหาก่อนประเทศไทยจะล้มละลายทางเศรษฐกิจ แต่แทนที่รัฐบาลจะคิดเอาไปแก้ปัญหา แต่น.ส.พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กลับออกมาตอบโต้โดยอ้างว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจีดีพีติดลบตามเศรษฐกิจโลก
และยังย้ำว่า เศรษฐกิจไทยเสียหายน้อยกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ขณะที่หากฉายภาพไปที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง เวียดนาม ซึ่งมีประชากรถึงเกือบ 96 ล้านคน และแม้ว่าปี 2563 เศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีการเติบโตของGDP ถึง 2.91 %
โดยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่ช่วงแรก GDP เวียดนามในช่วงปี 2559-2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 5.9% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในโลกส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2564 สดใสโดยองค์กรการเงินระหว่างประเทศ อาทิ World Bank, International Monetary Fund, Asian Development Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ 6.5-7.0% หมดข้ออ้างชองทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้เสียที
“คนพลังประชารัฐ ยังพยายามจะอ้างเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่นำมากระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และพบว่าโครงการที่รัฐบาลภูมิใจหลายโครงการมีการทุจริตระหว่างทางมหาศาลและถูกขุดคุ้ยสู่สาธารณะ จนไม่รู้ว่าเงินไปตกที่กระเป๋าใครมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าลืมว่ารัฐบาลนี้และรัฐบาลที่แล้วที่มีนายกรัฐมนตรีคนเดียวกันพยายามจะกู้เศรษฐกิจให้กลับคืนมา ต้องผ่านการเปลี่ยนมือเศรษฐกิจไปกี่คน
โดยมีประชาชนเป็นหนูทดลองมานานถึง 7 ปี และล่าสุดเมื่อวานเป็นวันครบรอบ 2 ปีกับนโบายจากพรรคพลังประชารัฐที่ใช้หาเสียง เมื่อปี 2562 กระทั่งโลกโซเชียลมาทวงถามว่า เป็นรัฐบาลจนลืมหรือเปล่า เกิดคำถามว่ามีอะไรที่พรรคพลังประชารัฐทำตามนโยบายได้บ้าง
เช่น การดูแลข้าวเจ้า 12,000 บาทขึ้นไป/ตัน, ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาทขึ้นไป/ตัน, อ้อย 1,000 บาทขึ้นไป/ตัน, ยางพารา 65 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม, มันสำปะหลัง 3 บาทขึ้นไป/กิโลกรัม และปาล์ม 5 บาท/กิโลกรัม การดันค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 400-425 บาท ปรับเงินเดือนระดับปริญญาตรีเป็น 20,000 บาท และระดับอาชีวศึกษาเป็น 18,000 บาท เด็กจบใหม่ เสนอยกเว้นภาษี 5 ปี เสนอยกเว้นภาษี พ่อค้าแม่ค้า ออนไลน์ 2 ปี ลดภาษี 10% บุคคลธรรมดา เมื่อไหร่
เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่คนของพลังประชารัฐต้องไปสะกิดพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร.ให้สะเทือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี อย่าขายฝันจนลืมสัญญาตอนหาเสียง ย้อนสมัยนายกฯยิ่งลักษณ์หาเสียง 49 วัน เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ถล่มทลาย ได้เป็นรัฐบาล ปีแรกทำตามนโยบายทันที ทั้งนโยบายบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก เงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ15,000 บาท ค่าแรง 300 บาท เป็นต้น
“และวันนี้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น เอาเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก่อน เมื่อไหร่นายกฯจะฉีด ตอนไปรับวัคซีนเห็นไปถ่ายรูปกันด้วยความภูมิใจถ่ายรูปใหญ่โตว่าวัคซีนมาถึงเมืองไทยแล้ว พอจะฉีดจริงๆ เลื่อนฉีดมา 2 ครั้งแล้ว จนมีคนเข้าใจว่าท่านนายกฯ ป่วยเป็นโรคปอดกับโรคตา เลยไม่ยอมฉีด
ขนาดโฆษกรัฐบาลการันตีว่าไม่เลื่อน ชนาดรัฐมนตรีไปนั่งรอยังเป็นโรคเลื่อนได้ สถานการณ์แบบนี้เศรษฐกิจประเทศไทยไม่มีทางดีได้ ถ้าวันนี้ยังมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเป็นนายกฯ ที่ยังไม่ยอมฉีดวัคซีนแต่ฉีดแอลกอฮอล์ใส่นักข่าว แถมยังมีทีมเศรษฐกิจที่ไม่มืออาชีพ ยังมีการปรับครม. ที่เอื้อประโยชน์กันโดยไม่สนใจประชาชน ยังมีรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาและยังแก้ไขไม่ได้ และประชาชนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง ตราบนั้นจำนวนประชากรในประเทศไทยจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะคงทยอยตายเพราะพิษเศรษฐกิจทารุณกรรม” นางสาวตรีชฎา กล่าว