ธรรมนัส “ผู้สร้างบทจบ” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

อ่านหนังสือ….
ถ้าใจร้อน อยากรู้จะจบแบบ Happy Ending หรือ Sad Ending พลิกไปอ่านหน้าท้ายๆ เลย
ผลคือ ถึงรู้ แต่ไร้รสชาติ

เพราะการไม่ได้ปูพื้นอารมณ์ไปแต่ต้น จินตนาการก็จะยังไม่นำอารมณ์เราเข้าไปเคล้าคลุกกับชีวิตตัวละครในเรื่อง
มันก็เลย “ไม่อิน” ไง!

การเมืองตอนนี้เหมือนกัน เจอใครก็ชอบถาม ยังกะว่าผมมีอนาคตังสญานคือ “ญานหยั่งรู้อนาคต” อย่างนั้นแหละว่า
“แล้วจะเป็นยังไงต่อไป?”

ความหมายของคำถามคือ คนในบ้านเมืองส่วนใหญ่ขณะนี้ ไม่สบายใจกับรัฐบาลเพื่อไทยที่มี “นางสาวแพทองธาร” เป็นนายกฯ

นอกจากไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานและจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมได้แล้ว
ยังระแวงเรื่อง “โกงเอามาแบ่งกัน” (ความจริงไม่ควรระแวง เพราะครูปรีชากล่าว “ความจริงก็คือความจริง”)

และวิตกว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ภายใต้การครอบงำของทักษิณ
การ “แปลงประเทศเป็นทุน”
จะเป็นชนวนนำสังคมชาติเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่

ฉะนั้น ที่เขาถาม “แล้วจะเป็นยังไงกันต่อไป” เขาหมายถึง นายก. นายข. นายค. คือคน “รู้ร้อน-รู้หนาว” ในบ้านเมืองทุกคน

“จะปล่อยบ้านเมืองให้ตกอยู่ใต้การชี้นำของทักษิณไปอย่างนี้เรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?”

ผมก็ตอบไม่ได้ เมื่อเขาถาม ก็ได้แต่ปลอบไปตามลม-ตามแล้งว่า อย่าด่วนร้อนใจไปเลย ตอนนี้ เพิ่งมีแค่หัว คือนายกฯ ยังไม่มีลำตัว คือรัฐบาล

ฉะนั้น ใจเย็นๆ ตามดูไปแต่ละวัน ให้รัฐบาลเขาได้เข้าทำงานก่อน เห็นบอกว่า ๑๑ กันยา.ก็จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว

เราก็ “อ่านหนังสือไปทีละหน้า” ก็แล้วกัน จะอินเข้าเนื้อไปเองว่า เรื่องนี้ จบแบบพระเอก-นางเอกได้แต่งงาน หรือจบแบบ “ตายจาก” กันไป
หรือ “ตายด้วยกัน” ทั้งคู่!?

เนี่ย…แบบนี้ ถึงจะซึ้งในอารมณ์ ตามไปทีละวันเถอะ …เชื่อผม จะกระซิบเป็นกระสายซักนิดก็ได้ว่า

เรื่อง “คุณพ่อจอมจุ้น-คุณลูกจอมแจ๋น” ไม่กี่สิบหน้า อ่านแป๊บเดียว “ไม่เกินครึ่งปี” ก็…จบบริบูรณ์แล้ว!

ถ้าคนอ่านหนังสือเก่งๆ แค่ “กันยา-ตุลา.พฤศจิกา” ก็น่าจะเดาบทจบได้

อย่าลืม ช่วงนี้ เป็นช่วง “กรรมติดจรวด” ฉะนั้น ถ้ามีอะไรพรวดพราดขึ้นมา ก็เข้าใจไว้ด้วย
“อำนาจไม่คงที่ ความดีสิคงทน”

ผมไม่ได้กล่าว เล่าปี่ เป็นคนกล่าว!

ก็เห็นมั้ยล่ะ นับตั้งแต่ทักษิณกลับเข้ามาเป็นนักโทษเหนือสถาบันอำนาจประะเทศ

พ่อค้า-ข้าราชการ-นักการเมือง-ชาวบ้าน-สื่อ-นักวิชาการ-พระเถนเณรชี และคนในกองทัพบางคน
“บูชาโจรเป็นพระเจ้า”!

ทุกอย่างวิปริต-อาเพศ นับตั้งแต่สภาโหวตอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ เห็นชัด จากการนำคนเข้ามาตั้งเป็นคณะรัฐมนตรี
ไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ ระเบียบ กติกา และคุณธรรมความสามารถ เป็นไปในลักษณะโควตา ใครส่ง หมู หมา กา ไก่ มาให้เป็น ก็ตั้งให้

นายกฯ อุ๊งอิ๊งบอก “โผครม.นิ่งแล้ว” เมื่อดูรายชื่อตามโผ มันก็ชัด ไม่สนเรื่องประสบการณ์ ความรู้-ความสามารถ

โดยเฉพาะเพื่อไทยเอง ตั้งรัฐมนตรีในความหมาย “เก้าอี้ดนตรี” หมุนเวียนกันเป็น เน้น “สมนาคุณ” ไม่เน้นเอาคนดี-คนมีความสามารถเข้าไปทำหน้าที่

แต่ก็ต่างศิโรราบกับ “ประกาศิตทักษิณ” อะไรที่ทักษิณว่างาม ก็งามไปตามทักษิณทั้งหมด
แล้วก็จะถูก “เทกระจาด” กันไปทั้งหมด ไม่เชื่อก็คอยดู!

“กลุ่มธรรมนัส” ก็ทำสภา “ระบบพรรค” วิปริตไปด้วย…….
ตัวเองเป็น “กรรมการบริหาร” พรรคพลังประชารัฐ มีตำแหน่งระดับ “เลขาธิการพรรค”

“เพื่อไทย” ปฎิเสธที่จะให้ “พลังประชารัฐ” ร่วมรัฐบาล

แต่ธรรมนัสซึ่งเป็นผู้บริหารพรรค กลับนำปริมาณสส.ในพรรคส่วนหนึ่ง ออกไปแลก “เก้าอี้รัฐมนตรี” กับพรรคเพื่อไทย

เมื่อวาน (๓ ก.ย.๖๗) ประชุมสภา ธรรมนัสก็พาสส.พลังประชารัฐในคอนโทรลไปนั่งอยู่ส่วนของพรรคเพื่อไทย แสดงความสวามิภักดิ์ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยความภาคภูมิใจ

เขาให้สัมภาษณ์นักข่าว ควรบันทึกเป็นหลักฐาน ดังนี้

นักข่าวถามถึงโผรายชื่อครม.ที่ปรากฎในโควตา “กลุ่มธรรมนัส” และร.อ.ธรรมนัส ก็เล่นลิ้นตอบว่า
“ไม่ใช่โควตา เป็นสิทธิของนายกฯ จะเลือกใคร”

“ส่งไป ๓ รายชื่อใช่หรือไม่?”
“ไม่ได้ส่ง ที่มีชื่อ “นายอัครา พรหมเผ่า” น้องชายนั้น อาจมีมือที่มองไม่เห็นส่งไปมั้ง”

และยังออกตัวว่า…….
ที่มีชื่อ “นางสาวนฤมล ภิญโญสินวัฒน์” นั้น เขาส่งด้วยตัวเองในนาม “พรรคกล้าธรรม” เช่นเดียวกับ” นายอิทธิ ศิริลัทยากร”

ในส่วนของ “นายอัครา พรหมเผ่า” ธรรมนัสก็ปัดไปว่า
“น้องชายอยู่การเมืองมานาน เป็นรองนายก อบจ.หลายสมัย จนมาเป็นนายก อบจ. อยู่การเมืองมาก่อนผม”

คือในโผครม.อุ๊งอิ๊ง ไม่มีชื่อร.อ.ธรรมนัส น่าจะเพราะติดด่านจริยธรรม “มันคือแป้ง”

จึงมีชื่อ นส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ผู้กองอ้าง “เขาเสนอตัวมาเป็นรมว.เกษตรฯ เอง” และนายอัครา “น้องชาย” ก็เช่นกัน

และรอ.ธรรมนัส ยืนยันสถานะตัวเขาเองว่า
“ผมยังเป็นรัฐบาล แม้ไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล (อุ๊งอิ๊ง) แต่ก็จะกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสภา ในการสนับสนุนรัฐบาล

ส่วน “พรรคพลังประชารัฐ” นั้น ผมไม่ทราบ

เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหาร ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ การทำงานจะใช้ในนาม “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา เขต ๑”

“ได้ฝากกระทรวงเกษตรฯไว้กับนางสาวนฤมลและนายอัคราหรือไม่?” นักข่าวถาม
“ไม่ต้องฝาก เพราะนางสาวนฤมลก็เป็นอดีตรัฐมนตรีมาก่อน” ธรรมนัสตอบ

“ถึงตอนนี้ได้เคลียร์กับ พลเอกประวิตร แล้วหรือไม่?”
ธรรมนัสพริ้วในประเด็นนี้ว่า
“มันไม่มีอะไร ผมไม่ทะเลาะกับใคร ส่วนใครจะคิดอะไรก็แล้วแต่เขา”

“จะเคลียร์เพื่อแยกย้ายกันหรือจะอยู่กันแบบนี้?”
ผู้กองยอดรักตอบว่า
“ผมเองไม่ได้ทะเลาะกับใคร อะไรก็ตามในการเมืองที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด เราคาดหวัง เราก็ถอยออกมา ไม่ได้หาเรื่องใคร”

“โดยส่วนตัวแล้ว ยังมีความรู้สึกต่อ “พลเอกประวิตร” เหมือนเดิมใช่หรือไม่?”
“เราออกมาแล้ว เราอย่าไปคิดอะไรมาก ออกมาก็คือออกมา”

นี่คือคำตอบเลี่ยงๆ ของผู้กองที่ออกไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็กลับเข้ามาซบกราบพลเอกประวิตร ขอกลับพลังประชารัฐ เมื่อนายเก่ากลับมา ก็ถีบหัว “พลเอกประวิตร” ออกไปซบกราบทักษิณนายเก่า

ท่านอ่านกันแล้ว มีความรู้สึกตอบสนองอย่างไร เชื่อหรือไม่ ที่นส.นฤมล “พรรคตั้งใหม่” ไม่มีสส.ซักคน ไปยื่นใบสมัครเป็นรัฐมนตรีเกษตร

นายกฯ อุ๊งอิ๊งก็ตั้งให้เป็น….
โดยธรรมนัส ไม่รู้ ไม่เห็น เป็นนางฟ้าจุติมาให้อุ๊งอิ๊งตั้งเป็นรัฐมนตรีเกษตรเอง

“นายอัครา พรหมเผ่า” ลาออกจากนายกฯ อบจ.พะเยา นายกฯ อุ๊งอิ๊งก็ไปเชิญมาเป็น โดยธรรมนัส ไม่รู้ ไม่เห็น

ปานว่านายอัครา มีคุณวิเศษเหนือกว่า ๑๔๐ สส.ในพรรคเพื่อไทย ชนิดครูมานิตย์-วอลเปเปอร์ หรือนายอดิศร-นักกลอนยอวาที เทียบไม่ติด

นายกฯ อุ๊งอิ๊ง จึงต้องดั้นด้นไปกราบกรานวานขอให้มาเป็นรัฐมนตรี!?

แต่เหล่านี้ ผมไม่ติดใจ จะติดใจก็ตรงธรรมนัสบอก “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารพรรคพลังประชารัฐ” แล้ว อยู่ในฐานะ สส.พะเยา

คุณไม่อาย แต่ผมละอายด้านจริยธรรมสำนึกแทนนะ
คุณไม่ใช่เด็กฝากเลี้ยง แต่คุณเป็นผู้ใหญ่ระดับเลขาฯ พรรคพลังประชารัฐ

ตอนเข้า-เข้าทางประตู แต่ตอนออก กลับ “รื้อหลังคา- ทะลุฝาบ้าน” ออกแบบนี้ มันเป็นแบบอย่างน่าละอายนะ

เมื่ออยากไปอยู่กับทักษิณ มีอำนาจ-มีตำแหน่ง ก็ลาออกจากพรรคไปให้มันถูกทำนองคลองธรรม

ไม่ใช่เอาชื่อ-เอาตำแหน่งคาพรรคพลังประชารัฐไว้ แล้วตัวกับหัวใจกลอกกลิ้งไปสวามิภักดิ์พรรคอื่น

การอ้างว่า ทำงานในบทบาทสส.พะเยานั้น จะบอกให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้สมัครสส.ต้องสังกัดพรรค

ถามว่า เวลากรอกเอกสารทางการ เมื่อคุณบอกไม่อยู่พลังประชารัฐแล้ว คุณจะกรอกว่าสังกัดพรรคไหนล่ะ…หือ?

นักเลงจริง ก็ลาออกเลย…
ก็ไม่กล้า เกี่ยงให้ไล่ออก เพื่อเป็นเงื่อน “ไม่หลุดสส.” ก็จะไปหาพรรคสังกัดใหม่ได้

ก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดจรรยาบรรณและวิสัยนักเลง!
“เพื่อไทย” ปูนบำเหน็จเก้าอี้รัฐมนตรีตอบแทน “กลุ่มทรยศพรรค” ที่มาสวามิภักดิ์ นายกฯ อุ๊งอุิ๊งก็ต้องระวังทั้งนิตินัยและพฤตินัย

เพราะไม่เคยมีธรรมเนียม การเมืองระบบสส.ที่ต้องสังกัดพรรค แต่พรรคเพื่อไทย กลับเอา “กลุ่ม-ก๊วน” ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับสถานะจากพรรคหนึ่งมาร่วมรัฐบาล

แต่ได้ยินอุ๊งอิ๊งบอก อยากจะใด้เสียงมากถึง ๓๗๗ เสียง เหมือนพ่อตอนเป็นนายกฯปี ๒๕๔๘
ก็แสดงว่า ทุกอย่างเป็นไปตาม “แรงปรารถนา” ตามสายเลือด

๓๗๗ เสียง ปี ๔๘ เป็นรัฐบาลเบ็ดเสร็จ
๑๙ กันยา.๔๙ เสร็จ…เป็นนายกฯ สัมภเวสี!

เปลว สีเงิน
๔ กันยายน ๒๕๖๗

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
กฎหมายกับกองโจร – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน บ้านเมืองป่วยไข้ด้วยโควิดรุมเร้า ก็ดีไปอย่าง ทำให้เข้าใจคนไทยดีขึ้น ว่าคนไทยวันนี้ ทั้งรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ มีทัศนคติกับชาติบ้านเมืองตัวเองอย่างไร? รัก หวงแหน มีภัยผนึกใจสู้ ไทยต้องไม่ทิ้งกัน...
Read More
0 replies on “ธรรมนัส “ผู้สร้างบทจบ” #เปลวสีเงิน”