ผักกาดหอม
รับทราบกันไปแล้วนะครับ
คดีหมายเลขดำ พศ.๗๖/๒๕๖๔ ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่คลิปไลฟ์สดของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กรณีการไลฟ์สด วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย
ศาลท่านวินิจฉัยว่า
“…การนำเสนอของผู้คัดค้าน (ธนาธร) มีข้อความหัวเรื่องว่า ‘วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย’ ผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นคำพูดที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดทำนองนี้ และหน่วยงานของรัฐบาลเคยใช้คำนี้
ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ผู้ร้องมิได้โต้แย้ง ข้อเท็จจริงจึงฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ผู้คัดค้านนำสืบ ทั้งนี้ แม้ว่าถ้อยคำอาจไม่ตรงกันทั้งหมด แต่น่าจะแสดงว่าก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลได้มีการใช้ถ้อยคำที่แสดงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกอบการจัดหาวัคซีนแล้ว
การที่ผู้คัดค้านนำข้อความดังกล่าวมานำเสนอจึงมิใช่ความเท็จ และลำพังข้อความดังกล่าวหากมิใช่ความเท็จก็ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระองค์
จึงไม่ใช่การใส่ความ…”
“……’ธนาธร’ จะบรรยายว่าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด แต่ก็มิได้มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นชัดเจนเป็นการกล่าวหา
หรือตำหนิติเตียน
หรือกล่าวให้สงสัยในความสุจริตต่อพระองค์ไม่ว่าในทางใดๆ
จึงไม่มีลักษณะชัดเจนและเห็นได้ในทางภาววิสัยที่แสดงว่าข้อความนี้อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อันจะเป็นเหตุให้ศาลสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด
ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การไต่สวนและมีคำสั่งของศาล ซึ่งย่อมมีผลให้คำสั่งศาลในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔ เป็นอันสิ้นผล และมีคำสั่งยกคำร้อง….”
ก็จบไปตามนั้น
ธนาธร, คณะก้าวหน้า, พรรคก้าวไกล สามารถเผยแพร่คลิปวิดีโอไลฟ์สด “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย” ต่อไปได้
แล้วไงต่อ….?
สิ่งที่ “ธนาธร” และพวกต้องการเป็นลำดับต่อไปคือ สิ่งที่โพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม
“…ต่อให้ดิสเครดิตหรือเอาคดีความมาก่อกวนมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ข้อสงสัยที่ผมตั้งไว้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ทำไมรัฐต้องรับหน้าแทนบริษัทเอกชนมากขนาดนี้ ยอมรับแล้วหรือไม่ว่าเราให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนนี้จริงๆ?
ถ้าอยากจบเรื่องนี้ก็ต้องชี้แจงด้วยเอกสาร-หลักฐานให้กระจ่าง โดยผมขอให้เปิดเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น
๑.สัญญาจ้างผลิตระหว่าง AstraZeneca กับ Siam Bioscience ว่าตกลงแล้วจะรับผลิตกี่โดส ราคาต้นทุนการผลิตของบริษัทเท่าไหร่ ราคาขายให้ AstraZeneca เท่าไหร่ มีรายละเอียดในสัญญาอย่างไรบ้าง
๒.สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติกับ Siam Bioscience ว่ามีรายละเอียดเงื่อนไขอย่างไร มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่ และเอาไปใช้ทำอะไร ตรงตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่
๓.บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการวางเงื่อนไข คุณสมบัติ และรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน เพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่าการเลือกสนับสนุน Siam Bioscience เป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องตามหลักการ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ยิ่งเปิดเผยมากยิ่งโปร่งใส
ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมเห็นด้วยทุกประการที่รัฐหรือเอกชนไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตวัคซีน แต่ผมตั้งคำถามถึงกระบวนการคัดเลือกเอกชน การใช้ประเด็นเรื่องวัคซีนมาสร้างความนิยมทางการเมือง และวิธีการบริหารจัดการที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยง ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนช้าและครอบคลุมประชากรน้อยกว่าประเทศอื่น ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า หากยึดตามไทม์ไลน์ของรัฐบาล กว่าเราจะกลับทำมาหากินได้ตามปกติไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ แบบนี้ ก็อย่างน้อยปี ๒๕๖๕ ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว!”
ครับ…รัฐบาลจะชี้แจงหรือไม่ว่าทำไมต้องรับหน้าแทน Siam Bioscience ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ถือหุ้นมากขนาดนี้
และรัฐบาลจะตอบ “ธนาธร” หรือไม่ว่า ยอมรับแล้วหรือไม่ว่าเราให้สิทธิพิเศษแก่บริษัท Siam Bioscience จริงๆ?
สัญญาจ้าง งบประมาณ ต้องตอบคำถาม “ธนาธร” หรือไม่
เพราะ “ธนาธร” บอกว่าถ้ารอ Siam Bioscience ประชาชนไม่สามารถทำมาหากินได้ตามปกติ
ซึ่งประชาชนรอไม่ไหว
ผมไม่รู้ว่ารัฐบาลจะตอบคำถามเหล่านี้หรือไม่ แต่สิ่งที่ค้างคาใจในคำถามของ “ธนาธร” คือ การที่ “ธนาธร” กล่าวหาว่า Siam Bioscience มีสิทธิพิเศษโดยรัฐบาลเป็นผู้มอบให้
ข้อมูลตามที่ผมและหลายๆ คนรับทราบคือ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและ AstraZeneca เป็นผู้เลือก Siam Bioscience
และในการลงนาม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จะใช้โรงงานของบริษัท Siam Bioscience เป็นแหล่งผลิตวัคซีน
หนังสือแสดงเจตจำนง มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดยังได้ให้สิทธิประเทศไทยในการจัดจำหน่ายวัคซีนให้แก่ประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วย
การที่ “ธนาธร” พยายามโยงเรื่องสิทธิพิเศษโดยรัฐบาล ให้แก่บริษัทที่ในหลวงทรงเป็นผู้ถือหุ้น ผมไม่ทราบว่า “ธนาธร” เจตนาอะไร
ที่รู้คือหลังจากนี้ “ธนาธร” รุกหนักแน่!
แต่คงไม่ต้องไปฟ้อง ม.๑๑๒ ซ้ำครับ เปล่าประโยชน์
เพราะเจตนาซ่อนเร้นทางการเมืองบางครั้งกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่คำตอบ
ในวันที่ ดีอีเอสเผยศาลสั่งระงับคลิปไลฟ์ธนาธรกรณีวัคซีนโควิด กระเทือนความมั่นคง ซึ่งก็คือวันที่ ๓๑ มกราคม “ธนาธร” แชร์โพสต์ของคณะก้าวหน้า ข้อความตามนี้ครับ
“…..สุดท้าย เราอยากฝากบอกรัฐบาลว่า ‘ยิ่งปิดกั้น ยิ่งเปิดกว้าง’ คุณไม่สามารถปิดกั้นข้อมูลที่คุณไม่ชอบได้โดยการสั่งลบ สั่งปิด เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมยิ่งอยากรู้สิ่งที่ผู้มีอำนาจไม่ยอมให้รู้ เหมือนเป็นการปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนี้ เหมือนกับที่คุณเคยทำกับเว็บไซต์ต่างๆ ที่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้ผู้คนยิ่งถวิลหามากยิ่งขึ้นไปอีก….”
วลี “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” มันไม่มีอะไรหรอกครับถ้าคนทั่วไปนำมาใช้
แต่สำหรับนักการเมือง พรรคการเมือง ที่ประกาศแก้และยกเลิก ม.๑๑๒ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วผมมั่นใจว่า…
คนพวกนี้มีเจตนาต่างออกไป
ดูที่ “ธนาธร” พูดหมิ่นฯ ต่อหน้าศาลเป็นตัวอย่างได้ครับ.