เปลว สีเงิน
ครับ….
กรณีศาลสั่งให้ธนาธรลบคลิปไลฟ์สด “วัคซีนพระราชทาน:ใครได้ ใครเสีย” ตามที่กระทรวงดีอีเอสร้องขอ ต่อมานายธนาธรร้องคัดค้าน นั้น
เมื่อวาน (๘ กพ.๖๔) ศาลมีคำสั่ง สรุป เพื่อความเข้าใจกันง่ายๆ ว่า
ธนาธร “ผู้คัดค้าน” ชนะ
กระทรวงดีอีเอส “ผู้ร้อง” แพ้!
ธนาธรไม่ต้องลบคลิปไลฟ์สดนั้น ไม่ต้องนำออกจากระบบคอมพิวเตอร์
ด้วยเหตุผลใดจึงเป็นเช่นนั้น ก่อนลงรายละเอียด ผมอยากบอกกับทุกท่านว่า
ทุกเรื่อง-ทุกคดีที่ศาลอาญาตัดสิน ก่อนที่ใครจะมีความคิดเห็นหรือวิพากษ์-วิจารณ์ ควรต้องอ่านคำตัดสินนั้นให้เข้าใจก่อน
อย่าพลันด่วนใช้ความรู้สึกและอารมณ์เป็นทัศนคติออกมาตอบสนองคำตัดสินของศาลเป็นอันขาด
ต้องเข้าใจให้ตรง……
อย่างเรื่องนี้ ต้องเข้าใจให้ชัด กระทรวงดีอีเอส ร้องว่าไลฟ์สดนั้น กระทบต่อความมั่นคง และคำว่าวัคซีนพระราชทาน เป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์
ให้ธนาธรลบคลิปและนำออกจากระบบคอมพิวเตอร์
ดีอีเอส ร้องให้ศาลพิจารณาในประเด็นนี้เท่านั้น
ไม่ได้ฟ้องให้ดำเนินคดีอาญาต่อธนาธรด้วยความผิดตามมาตรา ๑๑๒ แต่อย่างใด
ดังนั้น …..
การพิจารณาจะพิจารณาตามกรอบคำร้องเฉพาะ “ลบ-ไม่ลบ” เท่านั้น ไม่มีผลไปถึงธนาธร “ผิด-ไม่ผิด” มาตรา ๑๑๒
“ตั้งสติ-ตั้งใจ” ให้ตรง……
ผมจะนำสาระหลักในคำสั่งศาล ที่ MGR ออนไลน์เผยแพร่มาให้อ่านกัน ค่อยๆ อ่าน ทำความเข้าใจแต่ละประเด็นไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นว่า
ทุกคำวินิจฉัย มีคำอธิบายเป็นที่มา-ที่ไป และมีตัวบทกฎหมายรองรับ บนฐานพยานหลักฐานตามที่โจทก์-จำเลยนำมาแสดงและหักล้างกันชัดเจน
และต้องเข้าใจ…..
ศาลอาญามีหน้าที่รับฟังทั้งสองฝ่าย แล้วพิเคราะห์เป็นคำตัดสินตามพยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลยนำมาแสดงเท่านั้น
ฉะนั้น เรื่องนี้ ถ้าถามว่า ดีอีเอส แพ้เพราะอะไร?
ตอบได้เลย ส่วนหนึ่งเพราะ “ทนายผู้ร้อง” เหลี่ยมสู้ฝ่ายธนาธรไม่ได้ ไม่สามารถนำหลักฐานมาหักล้างข้อกล่าวหาของธนาธรได้
อ่านและศึกษากันดู เริ่มจากเหตุที่ศาลรับคำร้องคัดค้านของธนาธรไปเลย ดังนี้
-ศาลได้อ่านคำสั่งพิเคราะห์แล้ว คดีมีเหตุให้รับคำคัดค้านไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า
การออกคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยชัดแจ้งและถาวร เมื่อสิ้นสุดกระบวนการแล้วไม่มีโอกาสให้ผู้ใดได้โต้แย้งอีกต่อไป
การอนุโลมใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ถูกต้องแก่คำร้องเช่นนี้ สมควรที่จะรับพิจารณาเสมือนหนึ่งเป็นคดีอาญาคดีหนึ่ง
ซึ่งต้องให้โอกาสคู่ความทุกฝ่ายได้ต่อสู้คดีเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ การให้โอกาสดังกล่าว ยังเป็นหลักการสำคัญสำหรับการทำงานขององค์กรตุลาการตามหลักนิติธรรม
ดังนั้น สำหรับคดีนี้ …….
ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลในวันที่ 29 ม.ค. 2564 และศาลไต่สวนพยานผู้ร้องฝ่ายเดียว แล้วมีคำสั่งในทันที เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ
จึงมีเหตุให้รับคำคัดค้านของผู้คัดค้านไว้เพื่อพิจารณา
-ประเด็นมีเหตุสมควรระงับการเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์เรื่องนี้หรือไม่
เห็นว่า เมื่ออ่านถ้อยคำในมาตรา 14 (3) ซึ่งกำหนดความผิดสำหรับการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา นั้น
เห็นว่า ถ้อยคำที่ว่า “อันเป็นความผิด” แสดงว่ากฎหมายประสงค์จะลงโทษผู้ที่นำข้อมูลซึ่งได้มีการวินิจฉัยโดยชัดแจ้งแล้วว่าเป็นความผิดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ เจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อมิให้ความผิดตามมาตรา 14 (3) ซ้ำซ้อนกับกับความผิดประมวลกฎหมายอาญาที่มีโทษสูงกว่าอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อยังไม่มีการฟ้องเกี่ยวกับข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามคำร้องนี้ให้รับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จึงไม่มีกรณีต้องวินิจฉัยตามมาตรา 14(3) และไม่เข้าเหตุตามมาตรา 20 (1)
-มีข้อพิจารณาต่อไปว่า กรณีตามคำร้องจะเข้าเหตุตามตามมาตรา 20 (2) หรือไม่
สำหรับการพิจารณาในชั้นนี้ …….
ศาลพิจารณาเฉพาะตัวข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเฉพาะข้อมูลนั้นว่าอาจกระทบต่อความมั่นคงอันสืบเนื่องจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่
การวินิจฉัยคดีนี้ ……
จึงไม่เป็นการวินิจฉัยว่าผู้ใดจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 หรือไม่
ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องและศาลที่มีเขตอำนาจจักได้พิจารณาต่างหากไป
และเมื่อมีคำพิพากษาให้บุคคลรับผิดทางอาญาแล้ว จึงมีผลให้ศาลอาจสั่งระงับ
-คดีมีข้อพิจารณาคำว่า อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีความหมายเพียงไร
สมควรต้องแปลความ โดยพิจารณากรอบของรัฐธรรมนูญ มาตรา 34 ซึ่งบัญญัติบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ย่อมมีความหมายว่า การห้ามหรือระงับการแพร่หลายซึ่งข้อมูลเป็นข้อยกเว้น การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะทำได้เมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดและเร่งด่วน เพื่อคุ้มครองประโยชน์อันชอบธรรมของรัฐ และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ต้องได้สัดส่วนกับความจำเป็น
จึงต้องตีความอย่างเคร่งครัดและเป็นภาวะวิสัย การพิจารณาว่า
ข้อความใดจะเป็นข้อความที่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะต้องพิจารณาจากข้อความทั้งหมด มิใช่พิจารณาเฉพาะตอนหนึ่งตอนใด
จากข้อความที่ผู้คัดค้านนำเสนอนั้น
เนื้อหาเกือบทั้งหมดมุ่งเน้นในเรื่องการกล่าวหารัฐบาลว่า บกพร่องในการจัดหาวัคซีน โดยมีการนำข้อมูลหลายอย่างมาสนับสนุน
ซึ่งมีการบรรยายถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องหลายบริษัท รวมทั้งกล่าวถึงผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นด้วย
ข้อมูลที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ระบุเกี่ยวกับการถือหุ้นเป็นเพียงข้อมูลส่วนน้อยและไม่ใช่ประเด็นหลักของการนำเสนอ
เมื่อพิจารณาถึงข้อความที่กล่าวถึงพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะเจาะจง
-ในส่วนแรก เป็นการกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
ซึ่งความข้อนี้ ผู้คัดค้านนำสืบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเอกสารราชการและผู้ร้องไม่ได้คัดค้าน จึงฟังว่าเป็นความจริง
ข้อเท็จจริงเพียงว่า ……
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือหุ้นบริษัทดังกล่าว มิได้ทำให้เสื่อมเสีย ถูกดูหมิ่น หรือเกลียดชัง หรือไม่เป็นที่เคารพสักการะแต่อย่างใด
-สำหรับในส่วนที่สอง เป็นส่วนเสริมจากข้อมูลส่วนใหญ่ของการนำเสนอที่กล่าวหารัฐบาลว่าผิดพลาดในการให้วัคซีนเกือบทั้งหมดถูกผลิตในบริษัทเดียว
การกล่าวอ้างถึงคำถามต่อประชาชนต่อสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งอาจกระทบต่อสถาบันฯ นั้น
ไม่ได้มีลักษณะเป็นการชักชวนให้ประชาชนกล่าวโทษ แต่โดยลักษณะของข้อความที่สืบเนื่องกันมา มีลักษณะเป็นการกล่าวหา ว่า
การกระทำของรัฐบาลจะกระทบถึงสถาบันฯ เพื่อให้คนฟังรู้สึกว่า ความบกพร่องของรัฐบาลเป็นเรื่องร้ายแรง
ด้วยลักษณะของการนำมาอ้างเพื่อให้รัฐบาลรับผิดชอบมากขึ้น จึงไม่ได้มีการกล่าวถึงกรรมการผู้จัดการของบริษัท เพราะไม่ได้มุ่งเน้นความรับผิดของบริษัท
คดีนี้ มิใช่การพิจารณาความผิดของผู้คัดค้าน
และจักต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด คือข้อความที่สมควรถูกห้ามนั้น ต้องมีความชัดแจ้งที่จะเป็นความผิด
ซึ่งเมื่อพิจารณาแต่เฉพาะถ้อยคำตามตัวอักษรข้อความที่ผู้คัดค้านกล่าวสืบเนื่องมาทั้งหมดของเรื่องนี้
ยังไม่สามารถเห็นได้อย่างกระจ่างชัดเจน ว่าจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังสถาบันแต่อย่างใด
-ในส่วนการนำเสนอของผู้คัดค้าน มีข้อความหัวเรื่องว่า “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย”
ผู้คัดค้านอ้างว่า เป็นคำพูดที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดทำนองนี้ และหน่วยงานของรัฐบาลเคยใช้คำนี้
ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ผู้ร้องมิได้โต้
ข้อเท็จจริง จึงฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ผู้คัดค้านนำสืบ ทั้งนี้ แม้ว่าถ้อยคำอาจไม่ตรงกันทั้งหมด
แต่น่าจะแสดงว่า ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลได้มีการใช้ถ้อยคำที่แสดงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประกอบการจัดหาวัคซีนแล้ว
การที่ผู้คัดค้านนำข้อความดังกล่าวมานำเสนอ จึงมิใช่ความเท็จ
และลำพังข้อความดังกล่าว หากมิใช่ความเท็จ ก็ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระองค์ จึงไม่ใช่การใส่ความ
เมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดแล้ว ……..
แม้ว่าผู้คัดค้านจะบรรยายว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
แต่ก็มิได้มีข้อความใด ที่แสดงให้เห็นชัดเจนเป็นการกล่าวหา หรือตำหนิติเตียน หรือกล่าวให้สงสัยในความสุจริตต่อพระองค์ไม่ว่าในทางใดๆ
จึงไม่มีลักษณะชัดเจนและเห็นได้ในทางภาวะวิสัยที่แสดงว่าข้อความนี้อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันจะเป็นเหตุให้ศาลสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด
ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การไต่สวนและมีคำสั่งของศาล ซึ่งย่อมมีผลให้คำสั่งศาลในวันที่ 29 ม.ค. 2564 เป็นอันสิ้นผล และมีคำสั่งยกคำร้อง
ครับ….
อ่านโดยทำความเข้าใจแต่ละประเด็น จะเห็นว่าเรื่องนี้ ศาลแยกแยะเป็นขั้นตอนชัดเจน
ที่ธนาธรอ้าง “วัคซีนพระราชทาน” เป็นคำพูดนายกฯและศาลบอก “ไม่ใช่ความเท็จ” นั้น เพราะอะไร?
เหตุหนึ่ง เพราะ “ทนายดีอีเอส” นั่งเฉย ทั้งไม่โต้
ทั้งไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างข้ออ้างธนาธรเลย
ถ้าจะวังเวง “ทีมทนายดีอีเอส” นี่แหละ วังเวง!