นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีการจัดกิจกรรมงานรำลึกอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม 2535 สวนสันติพร ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ โดยคณะกรรมการญาติพฤษภา 35 มีการเชิญศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พร้อมด้วยปัญญาชนสยาม อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตร พร้อมด้วยญาติวีรชน เข้าร่วมกิจกรรมด้วยนั้น
ในงานดังกล่าว ได้มีศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันและเห็นด้วยอย่างมากกับข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็น
1.ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก
2.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
3.ปฏิรูปสถาบัน
ได้ติดตามข่าวการชุมนุมทุกวัน เคยนั่งรถมาสังเกตการณ์การชุมนุมด้วย “เห็นแล้วปลื้มใจ ที่เด็กตัวเล็กๆ ยังมีความสำนึกทางด้านการเมืองอย่างนี้แล้ว
ดูข่าวแล้วน้ำตาไหล ประทับใจว่า นอกจากนิสิต นักศึกษา ยังมีเด็กระดับประถมตัวนิดเดียวออกมาเดิน ดูแล้วเด็กสมัยนี้เขาก้าวหน้าจริงๆ ติดตามข่าวทุกวัน เคยแว่บมาดูการชุมนุมด้วย”
คำพูดดังกล่าวถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความเหมาะสมของคำให้สัมภาษณ์ของศิลปินแห่งชาติดังกล่าว เพราะไม่เชื่อว่าจะมาจากคนที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคล ผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานศิลป์อันทรงคุณค่า มาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และได้รับค่าตอบแทนให้หลายหมื่นบาทต่อเดือนจากภาษีของประชาชนจนกว่าจะสิ้นชีวิต
ซึ่งคนที่อายุมากขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้จักบุญคุณสถาบัน ก็ไม่ควรต้องเกรงใจอีกต่อไป และเมื่อศิลปินแห่งชาติคนดังกล่าวกล้าที่จะแสดงออกถึงการสนับสนุนกลุ่มคนที่ออกมาจาบจ้วงสถาบัน จนกระทั่งต้องคดีอาญา รวมทั้งต้อง ม.112 กันอย่างไม่ละอายนั้น
ทำให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อสถานะของศิลปินแห่งชาติ ซึ่งต้องห้ามตามกฎกระทรวง กำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีกำรคัดเลือก และประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชำติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติโดยมติด้วยคะแนนเสียงอย่ำงน้อยสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่อาจยกเลิกการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติที่มีความประพฤติเสื่อมเสียนั้นได้
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำหนังสือด่วนพร้อมพยานหลักฐานถึง รมว.วัฒนธรรมและเพื่อสั่งการไปยังคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาเพื่อเพิกถอนตำแหน่งศิลปินแห่งชาติจากบุคคลดังกล่าวเสีย เพราะตำแหน่งดังกล่าวมีศักดิ์สูงส่งเกินกว่าที่คนที่มีความคิดเยี่ยงนี้จะสมควรได้รับการยกย่องเชิดชูอีกต่อไป
และเงินเดือนจากภาษีประชาชนจะได้นำไปใช้ในทางอื่นให้กับคนตกทุกข์ได้ยาก อันเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าที่จะเอามาให้กับพวกที่ “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” นั่นเอง นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด