เปลว สีเงิน
“ช้างศึก”
เป็นนิมิตหมาย “ความสุขถ้วนหน้า” ที่จะเกิดกับประเทศและคนไทยทุกคนนับแต่วันเปิดพุทธศักราชใหม่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป
นอกจาก “สุขถ้วนหน้า” แล้ว
ตำแหน่ง “แชมป์อาเซียน” ครั้งที่ ๖ ยังบอกถึง สิ่งไหนที่คนไทย-ประเทศไทยตั้งหวัง สิ่งนั้น “ประสบชัย”
“สำเร็จ..สำเร็จ..สำเร็จ”!
“มาดามแป้ง” ตัวเล็ก แต่ใจใหญ่ เหมาเรือบินทั้งลำ ขนนักเตะไทยพร้อมถ้วยแชมป์อาเซียน SUZUKI CUP 2020 กลับมาฝากคนไทยเป็นของขวัญปีใหม่ เรียบร้อยแต่บ่าย (ที่ ๒ มกรา.)
ก่อนไปแข่งที่สิงคโปร์…….
ไปแบบแฟนชาวไทยสิ้นหวัง เพราะทุกอย่างในคำว่า “ทีมช้างศึก” มันเละไปหมดในความเป็น “ทีมชาติไทย”
“มาดามแป้ง” ขาวโอโม่เข้ามาในความดำมืดของ “ทีมช้างศึก” ในฐานะ “ผู้จัดการทีม” อาสา!
โค้ชยังไม่มี ช้างศึกก็อยู่คนละโขลง-สองโขลง ยังไม่ได้คัดมารวมเป็นโขลงเดียวกัน
ขณะที่เวียดนาม “ทีมดาวทอง” แชมป์ซูซูกิคัพ สองปีซ้อน คึกจนคับอุษาคเนย์ กับตำแหน่ง “เจ้าอาเซียน” ขยับแข้งรออยู่แรมปีแล้ว
แต่ช้างศึก “ร้างแชมป์” มา ๔ ปี ทั้งเป็น ๔ ปี ที่ทีมไทยไม่เคยชนะทีมเวียดนามได้เลย!
ไทยน่ะ อย่าไปพูดเรื่องแชมป์ เอาแค่หาโค้ชมาทำทีมและรวมตัวนักเตะเป็น “ทีมช้างศึก” ไปสัประยุทธ์ในศึกซูซูกิ ๒๐๒๐ ให้ได้ก่อน ก็ถือว่า “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ได้แล้ว
แต่แม่แป้งเธอไม่เพียงทำได้
แต่เธอสร้างเซอร์ไพรส์ ทางปาฎิหาริย์!
ไปคว้าเอา “มาโน โพลกิ้ง” โค้ชผู้ไม่เคยรู้จักถ้วยแชมป์มาเลยในชีวิต มาเป็นโค้ช ด้วยสัญญา ๔ เดือน
ตรงนี้ แฟนบอลไม่ค่อยเชื่อแป้ง…..
แต่มาดามแป้งเชื่อสายตาคมชัดและการ “มองขาด” ของเธอ ว่างานนี้ต้อง “มาโน โพลกิ้ง” เท่านั้น
ถึงเวลาน้อย แต่รู้จักและเข้าใจที่จะหลอมศักยภาพนักเตะไทยทุกตัวมากที่สุด
แล้วก็เป็นเช่นนั้น “มาโน” นักเตะบราซิลที่มาเป็นโค้ชอยู่ในไทยเป็นสิบปี ใช้เวลา “สัปดาห์เดียว” หลอมช้างศึกแต่ละเชือก เป็นทีม “ช้างศึกเทวดา”
ตอนนี้ แฟนบอล”เชื่อแป้ง”แล้ว
ไม่เพียงคนไทย เพื่อนประเทศในอาเซียนต่างทึ่งและยกนิ้วให้ “มาดามแป้ง”
เธอไม่ใช่ “ช้างเท้าหลัง”
ในความสำเร็จในฐานะ “ผู้จัดการทีม” นำแชมป์ซูซูกิคัพ ๒๐๒๐ กลับมา นำความเป็น “เจ้าอาเซียน” กลับมา นำคำว่า ไทยดับอหังการดาวทอง ให้อาเซียนซี๊ดปาก
“มาดามแป้ง”…….
เธอคือ “ช้างเท้าหน้า” ของความเป็น “ทีมชาติไทย”!
ส่วน “มาโน โพลกิ้ง” คือคำตอบของความจริงที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างชาติ เมื่อสอบผ่านเป็นโค้ชแล้ว เก่งพอๆ กันทุกคน
ฉะนั้น การจ้างใครซักคนมาเป็น “เฮดโค้ช” นั้น สมาคมฟุตบอลไทย อย่ามองข้ามหัวโค้ชไทย ชะเง้อหาแต่โค้ชต่างชาติตะพึด
จากกรณีมาโน สอนให้รู้ว่า………
จะโค้ชต่างชาติหรือโค้ชไทย “วิทยายุทธ์” ในความเป็นโค้ช มีเหมือนๆ กัน
แต่ที่ไม่เหมือน “บางคนไม่มี/บางคนมี” นั่นคือ “หัวใจ” ที่เข้าถึง “หัวใจ” นักเตะและการเรียนรู้ขนบธรรมประเพณีของแต่ละชาติ
ซึ่งนั่นเป็นฐาน “ความรู้สึก-นึก-คิด” ที่นำไปสู่การตอบสนองทั้งของนักเตะและแฟนบอลในชาตินั้นๆ
ฉะนั้น ไม่แปลกเลยที่มาโนใช้เวลาเตรียมทีมแค่สัปดาห์เดียวก่อนแข่ง ก็พบความสำเร็จ
เพราะในข้อเท็จจริง มาโน่คลุกอยู่กับนักเตะไทยแทบทุกคนในฐานะโค้ชตามสโมสรต่างๆ มาก่อนเป็นสิบปี
นั่นคือ นักเตะแต่ละคน ใครเป็นยังไง-เก่งด้านไหน อยู่ในหัวมาโนแล้ว
ไม่แค่นั้น มาโนเรียนรู้ลักษณะนิสัยใจคอคนไทย เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วม-ทำร่วมกับคนไทย แบบไทยๆ
จึงเป็นอย่างที่เห็น…..
มาโนและนักเตะทั้ง ๒๙ คนที่ไปกระชากความเป็นเจ้าอาเซียนกลับมา “โค้ช-นักเตะ” เรียกว่า “หลอมเป็นหนึ่งเดียว” ทั้งความรู้สึก/นึก/คิด ภายใต้วัฒนธรรมไทยเดียวกัน
เห็นสีหน้า-แววตามาโนตอนรับเหรียญ-รับถ้วยมั้ยล่ะ? เขาดีใจบริสุทธ์ เหมือนเขาคือคนไทยคนหนึ่ง
ตรงนี้ คือ “บทสรุป” ในการเลือกเฮดโค้ชทีมชาติ อย่าไปสนโพรไฟล์และคำว่า “โค้ชต่างชาติ” เป็นหลักเลย
ควรสนว่าคนที่จะมาเป็นโค้ชนั้น เข้าใจ-รู้จัก “วัฒนธรรมทางจิตใจ” คนไทยดีขนาดไหน
โค้ชที่รู้แต่วิชาโค้ช แต่ไม่รู้วิชาเข้าถึงจิตใจคน ยากจะนำทีมไปสู่ชัยชนะ เพราะไม่ได้ใจนักเตะ เมื่อไม่ได้ใจ ก็ยาก “ร่วมหัว-จมท้าย” ด้วยกัน
อย่างโค้ช “นิชิโนะ” ยอมรับว่าเก่ง โพรไฟล์เยี่ยม
แต่เหมือนโค้ชสอนออนไลน์ นัดเวลาเปิดคอมพ์เรียน หมดเวลาก็เลิก “บ้านใคร-บ้านมัน”
แบบนี้ สิบชาติ มีแต่ชวด ไม่มีแชมป์!
พูดถึงฝีมือ มีด้วยกันทุกคน แต่ที่ไม่มีทุกคน คือ “จังหวะ-โอกาส” อย่างมาโน ทั้งการเป็นนักเตะ, เป็นโค้ช ไม่เคยรู้จักคำว่าแชมป์
นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่เก่ง-ไม่มีฝีมือ แต่เมื่อ “โอกาสมา-จังหวะถึง” ทุกอย่างมันก็ “ลงล็อก-ลงตัว” เหมือนจับวาง
“ทีมชาติ” เคว้งคว้าง เหมือนเรือ “ไม่มีหางเสือ”
“มาดามแป้ง” ผู้มีศิลปะทางบริหารและการครองใจคนเข้ามาเป็นหางเสือ
“มาโน โพลกิ้ง” ผิดหวังจากการไปคุมทีมที่เวียดนามกลับมา พร้อมโชคชะตา-ฟ้าเปิด
แล้วทุกอย่างก็มาบรรจบกัน สโมสรเจ้าสังกัดตัวนักเตะต่างๆ “หยุดไทยลีก” ชั่วคราว ปล่อยตัวนักเตะมารวม “ทีมช้างศึก”
แล้ว ๓ เยี่ยม “นักเตะช้างศึกเยี่ยม” “มาดามแป้งผู้จัดการเยี่ยม” “มาโน่ โพลกิ้ง โค้ชเยี่ยม”
ก็นำความเป็น “เจ้าอาเซียน” กลับคืนมา “ดับดาวทอง” เข้าชิงกับอินโดฯ ชนะประตูรวม ๖-๒ ครองแชมป์ SUZUKI CUP 2020 ประเดิมพุทธศักราช ๒๕๖๕
“มาโน โพลกิ้ง” จะได้รับการว่าจ้างเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยหรือไม่ ต้องไปถาม “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง” นายกสมาคมฟุตบอลไทย
เอาที่แน่ๆ ก่อนถึง “ชิงแชมป์เอเชีย ๒๐๒๒” รุ่นอายุไม่เกิน ๒๓ ปี ที่อุซเบกิสถาน ระหว่าง ๑-๑๙ มิย.๖๕
แต่ระหว่าง ๑๔-๒๖ กุมภา.๖๕………
“สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน” (AF ) จัดแข่งฟุตบอล “ชิงแชมป์อาเซียน” รุ่นอายุไม่เกิน ๒๓ ปี หรือ U23 2022 ที่กัมพูชา
“ปรอทแตก” อีกแน่
เพราะจับสลาก “แบ่งกลุ่ม” ออกมาแล้ว เหมือนฟ้าสร้างสรรค์ กลุ่ม C มี ๓ ชาติ ที่แข่งกัน คือ
“ไทย-เวียดนาม-สิงคโปร์”!
จะร้อนแรงเกินขีด “ล้างตา” ไปถึงระดับ “ทะลวงลูกตา” กันเลยทีเดียว ระหว่าง “ไทยกับเวียดนาม” ที่ไทยดับอหังการดาวทอง “ฝังแค้น” ไว้ ๒-๐ เลือดยังสดๆ
“มาดามแป้ง-มาโน โพลกิ้ง” ต้องนำทีมชาติไทยออกศึกอีก เดิมพันศักดิ์ศรีหนนี้ เพิ่มเป็น ๒ เท่า
จะแน่ “แช่แป้ง” ได้หรือไม่ แต่ยังไงๆ ก็ “เชื่อแป้ง” ไว้ก่อนละกัน!
นี่ผมก็มัวเมากับบอลมาข้ามปีจนแทบลืมไปว่า ๑๖ มกรา.จะมีเลือกตั้งซ่อมที่ ชุมพร เขต ๑ แทนสส.ลูกหมี “ชุมพล จุลใส” กับสงขลา เขต ๖ แทนสส.ถาวร เสนเนียม
และ ๓๐ มกรา.เลือกตั้ง เขต ๙ กทม. “หลักสี่-จตุจักร” แทนนายสิระ เจนจาคะ ที่พ้นสภาพ สส.ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องคุณสมบัติต้องห้าม
บอกให้รู้ไว้ ยังไม่คุยวันนี้ แต่ที่อยากคุย คือเรื่อง “โอมิครอน”
นี่ก็ปีใหม่แล้ว ผมว่า เราจะยอมจำนน อยู่กับความกลัวโรคระบาดสายพันธุ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนหน้ากันเข้ามาไม่สิ้นสุดอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เห็นจะไม่ได้แล้ว
ต้องตั้งทัศนคติใหม่ ดำเนินธุรกิจ ชีวิต การงาน การค้า การธุรกิจ-อุตสาหกรรม ไปตามวิถี New Normal
ใช้ความไม่ประมาท-มีสติ ที่สังคมไทย ๘๐-๙๐% มีอยู่แล้วแทนความกลัวที่ไม่มีวันสิ้นสุด แล้วทุกชีวิตดำเนินไป จะดีกว่า
รอให้โรคมันจบ มันไม่จบหรอก เศรษฐกิจ ชีวิตปากท้องชาวบ้านนั่นแหละ จะจบก่อน
เศรษฐกิจไทยอยู่ด้วยส่งออกกับการท่องเที่ยว รายได้ส่งออกส่วนใหญ่จะกักเก็บอยู่ระดับบน
ส่วนการท่องเที่ยวจะเหมือนรดน้ำรายทาง ไปถึงไหนก็ได้ถึงที่นั่นทุกระดับ แต่นักท่องเที่ยวหลักของไทยคือจีน
ก็แน่นอนว่า ปีนี้ทั้งปี…
ยังไงๆ จีนก็ไม่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวออกมา ฉะนั้น อย่าหวังเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวรายหลักจากจีน
ดังนั้น เราหวังรายได้จากท่องเที่ยวจากนอกประเทศยังไม่ได้ จีนปิดประเทศอีกซักปี-สองปี เขาก็ไม่เดือดร้อน เพราะแรงซื้อคนเขาเองเพียงพอหมุนรอบเศรษฐกิจได้
ทางแก้เฉพาะทางแรกของไทยเรา คือเลิกกลัว แล้วเปิดให้ภาคธุรกิจการค้า การทำมาหากินดำเนินไปตามปกติ
ภาครัฐต้องปล่อยเงินสู่ภาคประชาชนให้เกิดการใช้จ่ายที่หมุนเวียน สร้าง “กำลังซื้อ” ภาคประชาชนฉุดรอบเศรษฐกิจ
รัฐบาลรู้ดีอยู่แล้วว่าควรใช้วิธีไหน ยืมมือประชาชนสร้างสภาพคล่องจากระดับฐานกลาง-ล่างขึ้นไป ผมไม่รู้หรอก
รู้เพียงว่า ถ้ารัฐบาลเปลี่ยนความกลัวชาวบ้านให้เป็นความหวัง “เปิดบ้าน-เปิดเมือง” ให้ทำมาหากินสู่โหมดปกติ นั่นแหละคือ……
การบริหารในบริหารภาวะ “เข้าถ้ำหาแสง”!
ขอบคุณภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก ช้างศึก