ผักกาดหอม
ถ้าจะปรองดอง….
ใครต้องทำอะไร? อย่างไร?
เอาสิ่งที่ผ่านมาก่อน
อย่างแรกเลย นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ไม่มีทางนำไปสู่การปรองดองได้ ช่วงท้ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราได้เห็นแล้วว่า มีความพยายาม “นิรโทษโกง” ซ่อนอยู่
เลิกนับถือคนโกง ประเด็นนี้อาจจะยากหน่อย เพราะมันซึมเข้าดีเอ็นเอไปแล้ว
ถัดมาทหารถอยเข้ากรมกอง
และกลุ่มจ้องล้มล้างสถาบัน ต้องยุติความเคลื่อนไหว
ไม่ใช่ซุกขยะใต้พรม แต่เอาความขัดแย้งออกไปก่อน
ถ้าไม่เริ่มอย่างนี้ ไม่มีทาง
เห็นผู้รู้ กูรู นักวิชาการ พูดกันเยอะ ต้องลดความเหลื่อมล้ำ สังคมต้องเท่าเทียมกัน ต้องมีประชาธิปไตย พูดไปก็เท่านั้น
เพราะทั้งหมดที่ว่ามา ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ภายใต้บรรยากาศแห่งความขัดแย้ง
การลดความขัดแย้งจะบอกว่ายาก มันก็ยาก
แต่ถ้าคิดว่าง่าย มันก็ทำได้ง่ายๆ เช่นกัน
ยกตัวอย่าง
สองวันก่อน มติชนออนไลน์ จั่วหัวข่าวว่า…..
“หญิงหน่อย” ดอดบินดูไบ ถกปมผู้ว่าฯ กทม. ทั้งน้ำตา
เนื้อในบอกว่า…
…..เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แจ้งว่า ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค พท. ได้เดินทางไปนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยได้เข้าพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วย
เพื่อพูดคุยกันถึงกรณีการส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ในส่วนของพรรคเพื่อไทย
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ในฐานะผู้ดูแลภาค กทม. ได้ให้เหตุผลถึงการที่พรรคเพื่อไทยจำเป็นที่จะต้องส่งผู้สมัครในนามของพรรค
ขณะที่นายทักษิณก็ได้ชี้แจงถึงเหตุที่ไม่ควรส่งผู้สมัครชนกับกลุ่มพันธมิตรว่าไม่ใช่เรื่องของการหลีกทางให้กันแต่อย่างใด แต่ด้วยกลไกต่างๆ ที่มีในขณะนี้หากมีการเทกไซด์แบ่งคะแนนกันเองโอกาสที่จะแพ้มีมากกว่าทางฝั่งรัฐบาล ซึ่งขณะนี้เองผู้ใหญ่ในพรรค พท.หลายคนรับรู้ และรับทราบถึงเหตุผล และข้อจำกัดนี้แล้ว
ซึ่งหลายคนก็เข้าใจ และเห็นด้วยที่พรรค พท.จะไม่ส่งผู้สมัครเข้าไปชนแบ่งคะแนนในสนามการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีเพียงภาค กทม. และกลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์เท่านั้นที่เห็นแย้งอยู่ด้วยเหตุที่ก็ฟังได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า คุณหญิงสุดารัตน์มีเสียน้ำตาในการพูดคุยเจรจาครั้งนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวความไม่พอใจ จากภาค กทม.เพื่อไทย ที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ประกาศไม่ลงสมัครชิงผู้ว่าฯ ในนามพรรค
โดยเหตุผลของนายชัชชาติเป็นเรื่องของการทำงาน ที่ต้องการจะประสานการทำงานกับทุกฝ่ายได้อย่างราบรื่นมากกว่าที่จะสังกัดเพื่อไทย เพราะกังวลปัญหาบางฝ่ายอาจไม่พอใจ
ขณะที่ทางฝ่ายภาค กทม.เพื่อไทย เห็นว่า จำเป็นต้องส่งชิงผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรค เพราะพรรคมีการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ไม่ควรทิ้งความเป็นเพื่อไทย ถึงขนาดมีการลงมติเพื่อเตรียมจะขอส่งชื่อผู้สมัครชิงเก้าอี้ แต่ถูกมติของหัวหน้าพรรคระงับไว้
ต่อมาผู้ใหญ่ของพรรคหลายคน เช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ออกแถลงการณ์ประกาศ หนุน นายชัชชาติอีกด้วย…..
มติชนออนไลน์ เขายืนยันรายงานข่าวมาอย่างนั้น ก็คงจะปฏิเสธยาก
ทีนี้เห็นประเด็นหรือยัง?
ทักษิณ ยังมีบทบาทชี้นำพรรคเพื่อไทย
ไม่ได้ชี้นำธรรมดา
“ชี้นำ” และ “ตัดสิน”
หมายความว่า พรรคเพื่อไทยคือเครื่องมือทางการเมืองของ ทักษณ
และที่ผ่านมา ทักษิณ ใช้เครื่องมือนี้ตลอดเวลา
ทั้งในยามที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และฝ่ายค้าน
ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่
และไม่ใช่การปลุกผีทักษิณ
แต่เป็นเรื่องที่สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ล้วนเป็นผู้รับคำสั่งจากทักษิณทั้งสิ้น
และเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ เห็นๆ อยู่ว่า ทักษิณ หนีเพราะโกง แต่กลับยังโกงกันต่อในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “บุญทรง” เข้าไปอยู่ในคุก
ที่เหลือคือ “เจ๊” ไม่ติดคุกก็หนี แต่โอกาสน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
ถ้าวันนี้หากพรรคเพื่อไทยลุกขึ้นมาประกาศตัดขาดจากทักษิณ และแสดงให้เห็นว่าได้ทำเช่นนั้นจริงๆ เชื่อเถอะ บรรยากาศผ่อนคลาย
พรรคอนาคตใหม่ไม่ห้าว อันไหนไม่พอใจ ขู่ยุบเลิก ล้มล้าง ก็เลิกเสีย
ศาลแพ่งสั่ง ๓ เกลอหัวครก จ่ายรับผิดชอบค่าเผาเมือง ๒๑ ล้าน ก็จ่ายไป อย่าอิดออดอ้างถูกแกล้ง
แบบนี้ทหารไม่มีโอกาสขยับปากพูด
วันๆ “บิ๊กแดง” ก็คงทำได้แค่วิดพื้นในกรมกอง
รัฐบาลลุงตู่ บริหารประเทศไป เร่งแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน อย่าโกงให้เห็น
ถ้า ๒ ฝั่งเดินไปอย่างนี้ แล้วมาคุยกัน ใครต้องปรับอะไร รับผิดชอบอย่างไร
โอกาสจบความขัดแย้งมีแน่
บอกแล้วว่าทำให้มันง่าย มันก็ง่าย
หากไม่อยากจบ ก็เชิญเถอะครับ อยู่กันไปแบบนี้
เริ่มแล้ว อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๓ วาระแรก มาพร้อมกับเสียงขู่จากบางคนในฝ่ายค้าน ถ้ารัฐบาลไม่ทำตามที่ร้องขอ จะโหวตคว่ำ
ทำความเข้าใจกันก่อน การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณในสภา จะมีความพิเศษ ไม่เหมือนพระราชบัญญัติอื่นๆ
การอภิปรายนั่นเรื่องหนึ่ง
ถึงเวลาโหวตก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โดยธรรมเนียม ฝ่ายค้านอภิปรายด่าสาดเสียเทเสีย ถึงเวลาโหวต ก็งดออกเสียง
ฉะนั้นพรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายค้านอื่น น่าจะยึดตามธรรมเนียมเดิม คือ….งดออกเสียง
ยกเว้นพรรคอนาคตใหม่ เพราะเดาทางไม่ได้ เด็กมันร้อนวิชา ล่าสุดก็เห็นๆ กันอยู่ เขาเรียกร้องให้เลิกสารพิษ ๓ ชนิด แต่ ส.ส.ส้มหวานหนุนให้ใช้ต่อ
หากเลวร้ายสุด….ฝ่ายค้านพร้อมใจพากันโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ นั่นหมายความว่า การเมืองในสภาเข้าสู่ความรุนแรงเต็มพิกัด
แทงกันเลือดสาดจนกว่าจะตายไปข้าง
แต่…มันไม่น่ากลัวขนาดนั้น
ยังถือว่าขี้ๆ…..ถ้าเทียบกับยุค “หม่อมน้อง”
ก็อย่างที่รู้รัฐบาลคึกฤทธิ์ เป็นรัฐบาลผสม
พรรคกิจสังคม ที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคและเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีเสียงเพียง ๑๘ เสียง น้อยกว่าพรรคอื่นๆ ที่เข้าร่วมรัฐบาลอยู่หลายพรรค
บริหารประเทศมาได้ไม่นานก็มีความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล
เรื่องมาชัดเจนในเดือนตุลาคม ๒๕๑๘ เพราะจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ
มีเสียงขู่ว่าจะมี ส.ส.ไม่ให้การสนับสนุนรัฐบาล
จนแล้วจนรอด งบประมาณผ่านสภา
จากนั้น “ม.ร.ว. คึกฤทธิ์” ปรับ ครม.
แต่ปัญหาการเมืองไม่คลี่คลาย
พรรคร่วมรัฐบาลเองก็จ้องจะฟัดกัน
ส่วนเบอร์หนึ่งฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ ขอเปิดประชุมวิสามัญ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป ซักฟอกรัฐบาลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม บริหาร และการต่างประเทศ
“หม่อมน้อง” เกาหัวแกรกๆ หมดทางเลือก
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๙ นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเสร็จแล้วในตอนบ่าย ตอนค่ำประกาศยุบสภา
มองสถานการณ์รัฐบาลคึกฤทธิ์ แล้วหันมาดูรัฐบาลลุงตู่ ยังไม่มีอะไรน่าห่วง แม้กราบเรือจะปริ่มน้ำ
งบฯ ผ่านได้ใช้แน่ ไม่มียุบสภา ลาออก แถมแยกฝ่ายในสภาได้ชัดเจนขึ้น
จัดแถว ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น กึ่งค้านกึ่งแค้น และงูเห่า ให้เห็นหน้าเห็นตากัน
หลังงบประมาณผ่าน คราวนี้เจอกันของจริง
มี ส.ส.ย้ายค่าย ปูเสื่อรอดูได้เลย