ผศ.ดร.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเด็นร่าง พ.ร.บ.ประชามติที่รัฐบาลเสนอไปยังรัฐสภา โดยมีความพยายามทำให้ร่างกฎหมายนี้เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศเพื่อให้ ส.ว. ที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาร่วมขบวนดึงเกม
รวมไปถึงกรณี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ 25 คน และ ส.ว. 47 คน เพื่อยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ 3 ญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องการเตะถ่วงเวลา และไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ดีไซน์มาเพื่อรักษาอำนาจของรัฐบาล การเดินเกมการเมืองของรัฐบาลตั้งแต่การตั้งคณะ กมธ.พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับหลักการสมัยประชุมที่แล้ว
การตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ก็ส่อแววแท้งก่อนคลอด เกิดจากท่าทีของ ส.ส. ฝั่งรัฐบาลทั้งสิ้น ถึงแม้นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปฝ่ายรัฐบาล จะออกมายืนยันว่าในวันที่ 17 พ.ย.นี้ ร่างแก้รัฐธรรมนูญจะผ่านสภาในวาระแรกก็ตาม แต่เหมือนรัฐบาลตีสองหน้า เพราะการปล่อยให้ ส.ว. ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับหลักการ ถึงกระบวนการทางสภาจะเดินคู่ขนาน
แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 3 ญัตติ ไม่ถูกต้อง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กระบวนการทั้งหมดที่สภาพิจารณาก็จะสูญเปล่า รัฐบาลไม่มีความจริงใจแก้ปัญหาประเทศเลย ถ้าจริงใจการแก้รัฐธรรมนูญควรเกิดขึ้น และไม่ควรมี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้
ดังนั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ จึงควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการหยุดอำนาจ ส.ว. ไม่ให้เข้ามาแทรกแซงในทุกกระบวนการ
ส่วนการท่าทีและกระบวนการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในการทำร่าง พ.ร.บ.ประชามติ จะนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ทั้งร่างประชามติที่มีข้อจำกัด นำไปสู่หนังม้วนเดิมที่เคยฉาย ทั้งห้ามการรณรงค์ การวางกฎเกณฑ์พิสดารต่างๆ ทั้งที่หลักการทำประชามติ คือ การฟังเสียงประชาชน ไม่ใช่การแสวงหาช่องทางดึงเวลาให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป ไม่เห็นหัวประชาชนด้วยการหาช่องทางลิดรอนสิทธิประชาชนทางอ้อม
และในอนาคต การทำประชามติควรจะลงไปสู่ระดับท้องถิ่นด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้เรื่องสาธารณะระดับจังหวัดมีข้อถกเถียงและสร้างการมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่
“การทำประชามติต้องไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพ อย่างที่รัฐบาลชุดนี้ถนัดทำมาตลอดกว่า 6 ปี กลายเป็นข้ออ้างความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่บิดเบี้ยว ทั้งที่เนื้อแท้มีการปิดปาก ห้ามการรณรงค์ ไล่จับกุมผู้เห็นต่างแล้วสร้างบรรยากาศความกลัว เพียงเพื่อต้องการครองอำนาจแบบฝืนกระแส” ผศ.ดร.อรุณี กล่าว