บอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการชุดใหญ่กระตุ้นการลงทุน ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพ การค้า การลงทุน และฐานการผลิตสำคัญของโลก นายกฯ ย้ำทุกฝ่ายปรับเปลี่ยนวิธีคิดและปฏิบัติใหม่แบบ New Normal ให้ทันสถานการณ์โลก
4 พ.ย. 63 เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2563
โดย นายกรัฐมนตรี ย้ำในโลกยุคใหม่ New Normal ทุกหน่วยงานปรับเปลี่ยนวิธีการ คิดและปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง และบริบทของประเทศภูมิภาคต่างๆ เช่น เรื่องข้อตกลงทางด้านการค้าและข้อกฎหมาย รวมถึงสอดคล้องกับความต้องการประเทศและศักยภาพที่ประเทศไทยมีอยู่เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ภายใต้สถานการณ์การค้าต่างตอบแทนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมในด้านของทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและรองรับการเป็นรัฐบาล New Normal และรัฐบาลดิจิทัลด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน โดยเปิดประเภทกิจการให้การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม ได้แก่
1. กิจการโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กิจการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในกิจการดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร รองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 โดยอนุมัติเปิด 2 ประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ (1) กิจการโรงพยาบาลผู้สูงอายุ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 5 ปี และ (2) กิจการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 3 ปี
2. กิจการวิจัยทางคลินิก เพื่อส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการแพทย์ของประเทศไทย และสนับสนุนเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ได้อย่างสมบูรณ์ อนุมัติเปิดให้ส่งเสริมกิจการวิจัยทางคลินิก (Clinical Research) โดยครอบคลุม 2 กิจการย่อย คือ กิจการสนับสนุนและบริหารจัดการการวิจัยทางคลินิก (Contract Research Organization: CRO) และศูนย์การวิจัยทางคลินิก (Clinical Research Center: CRC) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี โดยไม่จำกัดวงเงิน
รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบให้เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้า (อีวี) รอบใหม่ หลังจากหมดระยะเวลาการยื่นคำขอรับการส่งเสริมไปตั้งแต่ปี 2561 โดยในรอบนี้ เปิดให้การส่งเสริมยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสารและรถบรรทุก รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จากเดิมที่มีการส่งเสริมเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและรถโดยสารไฟฟ้า ทั้งนี้ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ทุกประเภท ผู้ลงทุนจะต้องเสนอแผนงานรวม (Package) เช่น
โครงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ โครงการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า แผนการนำเข้าเครื่องจักรและติดตั้ง แผนการผลิตในระยะ 1 – 3 ปี แผนการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนอื่นๆ และแผนการพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบในประเทศไทย (ที่มีคนไทยถือหุ้นข้างมาก) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังปรับปรุงขอบข่ายและสิทธิประโยชน์ของประเภทกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า โดยเพิ่มเติมรายการชิ้นส่วนสำคัญอีก 4 รายการ ได้แก่
1) High Voltage Harness 2) Reduction Gear 3) Battery Cooling System และ 4) Regenerative Braking System
พร้อมทั้งปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้จูงใจมากขึ้นสำหรับกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีการลงทุนในขั้นตอนที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยให้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ในอัตราร้อยละ 90 เป็นระยะเวลา 2 ปี ในกรณีที่มีขั้นตอนการผลิต Module หรือ Cell เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค รวมทั้งให้ความเห็นชอบการปรับปรุงประเภทกิจการต่อเรือหรือซ่อมเรือ ให้ครอบคลุมถึงการผลิตเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วย โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2560 – 2562 มีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมฯ รวม 26 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 78,099 ล้านบาท
อีกทั้งที่ประชุมได้เห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ” เพื่อให้ครอบคลุมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ พร้อมทั้ง ขยายมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการยกระดับไปสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล (Sustainability Certification) ให้ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากภาคเกษตร ในการดำเนินการให้ได้รับรองมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยด้านอาหาร (ISO 22000) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการป่าไม้แบบยั่งยืน (ISO 14061) เป็นต้น
ทางด้าน นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้กล่าวถึงภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนของปี 2563 (มกราคม-กันยายน) ว่า มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,098 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,088 โครงการ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 223,720 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15 ที่มีมูลค่ารวม 262,470 ล้านบาท สำหรับยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ ร้อยละ 58 ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีจำนวน 556 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 128,980 ล้านบาท
โดยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 37,550 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร 26,880 ล้านบาท อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 19,980 ล้านบาท และอุตสาหกรรมการแพทย์ 14,710 ล้านบาท ทั้งนี้ คำขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการแพทย์ยังคงมีจำนวนโครงการและมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีจำนวน 65 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 132 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 14,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยรวม แต่ในบางอุตสาหกรรมมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ ตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาค