อย่าจุดชนวนแห่งวิปโยค

ผักกาดหอม

“…ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ทุกคนค่ะ
ขอให้ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตค่ะ
ส่งผ่านความภาคภูมิใจไปถึงบัณฑิตทุกคนและครอบครัวนะคะ…”

ข้อความจาก รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องในวัน พิธีพระราชทานปริญญาบัตร ๓๐-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓

ขณะที่เกิดความกังวลไปถึงระดับรัฐบาลว่า อาจเกิดอันตรายกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ภายในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสต์
โดยเฉพาะการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์

เมื่อทุกสิ่งเดินมาถึงจุดแห่งความไม่ไว้วางใจกัน อนาคตข้างหน้าแทบมองไม่เห็นอย่างอื่น

นอกจากความขัดแย้งรุนแรง!

คนเจน Yและเจน Z ที่เติบโตมากับความทันสมัย โดยเฉพาะเจน Z อาจมองข้ามบางสิ่งไป และสิ่งที่มองข้ามนั้น กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับสังคมมนุษย์

ความไม่เข้าใจในรากเหง้า
และดูหมิ่นในศรัทธาของ “ผู้อื่น”
จะก่อสงครามที่ไม่จำเป็นขึ้นมาได้
เมื่อ “ศรัทธา” มาจากความเชื่อ และความไว้วางใจ การลบหลู่จึงนำไปสู่ความขัดแย้งได้

ยกตัวอย่างสดๆร้อนๆ
“มหาเธร์ โมฮัมหมัด” เสือเฒ่า อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียวัย ๙๕ ปี ทวิตข้อความว่า

“ชาวมุสลิมมีสิทธิ์ที่จะโกรธและสังหารชาวฝรั่งเศสหลายล้านคนได้ เช่นเดียวกับที่ชาวฝรั่งเศสเคยสังหารหมู่ในอดีต”

ข้อความนี้สร้างความตกตะลึงไปทั้งโลก
แต่โลกมุสลิมจำนวนไม่น้อย สนับสนุน “มหาเธร์”

แม้เราสามารถตัดสินได้ทันทีว่า “มหาเธร์” ไม่ควรทวิตข้อความยุยงส่งเสริมให้มนุษย์ฆ่ากัน ที่สำคัญให้ฆ่ากันเป็นล้านคน
แต่ใช่ว่าจู่ๆ “มหาเธร์” ลุกขึ้นมาบอก…. เชิญฆ่ากันตามสบาย

โลกรู้อยู่แล้วว่ามีสงคราม ที่มาจากความต่างด้านศาสนา และศรัทธา
มีมานับพันๆ ปี
ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้

นั่นเพราะมีการจุดชนวนครั้งแล้วครั้งเล่า
ปฏิกริยาของ “มหาเธร์” สืบเนื่องจาก “เอ็มมานูเอล มาครง” ผู้นำฝรั่งเศส ระบุว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ “อันตราย”

“มาครง” วางแผนการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังมีการสังหารครูที่เสนอภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมหมัดในชั้นเรียน

“มหาเธร์” จึงตอบโต้ผ่านทวิตเตอร์

“…คุณกล่าวโทษชาวมุสลิมทุกคนและศาสนาของพวกเขาสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นจากบุคคลที่รู้สึกโกรธแค้น

ชาวมุสลิมจึงมีสิทธิ์ลงโทษชาวฝรั่งเศส
การคว่ำบาตรไม่สามารถชดเชยความผิดที่ฝรั่งเศสกระทำไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา…”

คงตอบตรงนี้ไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด เพราะอย่างที่รู้กัน มีความขัดแย้งมานานนับพันปี

แต่ที่พูดได้เต็มปากคือ….
นี่คือการปลุกเร้าที่อันตราย
สามารถนำไปสู่สงครามได้ หากการท้าทายระหว่างกันยังดำเนินไปเรื่อยๆ

กลับมาที่ประเทศไทย…
สิ่งที่เห็นอยู่ในวันนี้คือ คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อในศรัทธาของคนรุ่นเก่า
ถ้าหยุดอยู่แค่นี้ ปัญหาคงไม่เกิด

ไม่ศรัทธาไม่พอ ยังดูหมิ่นเหยียดหยาม ทำลายเกียรติยศ ทำให้ด้อยค่า
ปฏิกริยาต่อต้านจึงเกิดขึ้น อย่างที่เราเห็นคนเสื้อเหลืองลุกขึ้นมา แม้คนรุ่นใหม่จะมองว่าเป็นจัดฉากเกณฑ์คน แต่เบื้องของความรู้สึก คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่เข้าไม่ถึง
และไม่เข้าใจ

เมื่อม็อบคณะราษฎร ๖๓ สนุกสนานกับการล้อเลียนสถาบันพระมหากษัตริย์
ทุกพระองค์ในราชวงค์ ล้วนถูกคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้กระทำการมิบังควร
และคงจะไม่จบอยู่แค่นี้

ฉะนั้นจึงอยากจะเตือน…การใช้สิทธิ เสรีภาพ ในการพูด และการแสดงออกนั้น ย่อมต้องมีความรับผิดชอบตามมาด้วย
ใช่ว่าดูหมิ่นผู้อื่นแล้วบอกว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงความเห็น ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ
ผิดถนัด!

ขนาดดูหมิ่นบุคคล ถูกฟ้องหมิ่นประมาท
แล้วนี่…ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองยืนอยู่ข้างกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา แล้วบอกว่าเด็กคิดทุกอย่างถูกแล้ว ควรทำตามที่เด็กเรียกร้อง อยากให้กลับไปพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วน
ใช้ความคิดให้เยอะ

แยกแยะประเด็นให้ออก สนับสนุนเด็กๆ ให้ถูกทาง

วันนี้ข้อเสนอปฏิรูปสถาบัน ไม่ชัดเจน
๑๐ ข้อที่เคยปรากฎก่อนนี้ ไม่ใช่ข้อเสนอ แต่เป็นความเห็นที่เป็นปฏิปักษ์
คำถามคือ ทำไมไม่มีคำอธิบายว่าปฏิรูปสถาบันในเชิงข้อเสนอแนะว่าคืออะไร

ที่บอกจะปรับโครงสร้าง คือโครงสร้างอะไร ปัจจุบันโครงสร้างที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญไม่ชัดเจนอย่างไร ซึ่งเรื่องพวกนี้นักวิชาการช่วยได้

แต่…น่าเสียดาย
การล้อเลียนสถาบันพระมหากษัตริย์คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ผลิตขึ้นมาเป็นกระแสหลัก และผู้หลักผู้ใหญ่ที่สนับสนุนเด็กๆ หรี่ตา…
ทำเป็นมองไม่เห็น

การล้อเลียนพระกรณียกิจ
การเหยียดหยาม สร้างความเข้าใจผิดในโครงการพระราชดำริ นานเข้านี่จะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้ง

๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ บาดแผลในอดีต จะปลุกขึ้นมาโดยใครก็ตาม ไม่ควรมีเหตุการณ์ลักษณะนี้ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีก

ภาพละครแขวนคอ
ฝ่ายหนึ่งบอกว่า นักศึกษาจงใจดูหมิ่น
อีกฝ่ายยืนกรานเป็นการจัดฉาก แต่งเรื่องเพื่อปราบปรามนักศึกษา

ไม่ว่าใครจะอ้างอย่างไร แต่ผลคือ….
เกิดเหตุการณ์วิปโยค

วันนี้จะย้อนกลับสู่รอยเดิมหรือไม่?
คือคำถามไปยังทุกฝ่าย

การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร ๖๓ แทบทุกครั้ง มีเจตนาดูหมิ่น เหยียดหยาม อาฆาตมาดร้าย สถาบันเบื้องสูง

ล่าสุดที่ถนนสีลม ปรากฏภาพ ล้อเลียน ที่คนไทยจำนวนมากไม่อยากเห็น
ระวัง! จะกลายเป็นชนวน กลับไปเหมือน ๖ ตุลา ๑๙

ก่อนจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ ถึงเวลาต้องหยุดคิด และไตร่ตรอง อย่าอ้างสิทธิเสรีภาพ ตามระบอบประชาธิปไตย
เพื่อความสะใจ!

เพราะเมื่อเกิดความสูญเสียแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาคิด มาทำใหม่ได้
และไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปถึงจุดที่ทุกฝ่ายทำได้แค่โทษว่าอีกฝ่ายเป็นคนทำ อีกฝ่ายสร้างสถานการณ์

ฉะนั้น ไม่เร็วก็ช้า หากยังจาบจ้วงกันอยู่ ประเทศไทยจะเดินเข้าสู่หายนะอีกครั้ง
เพราะสิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงคือ ศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์
ฝ่ายหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาทำลายศรัทธาอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ต้องบอกว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วทั่วโลก
ล้วนเกิดหายนะทั้งสิ้น


วานนี้ (๓๐ ตุลาคม) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาท แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ความว่า

“…ข้าพเจ้าและพระราชินีมีความยินดีที่ได้มามอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปีนี้ ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ทรงคุณวุฒิและบัณฑิตทุกคนที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ ทั้งขอขอบใจมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก ที่มอบปริญญาพัฒนาชุมชน ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แก่ข้าพเจ้า และมอบปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย แก่พระราชินี
ปริญญาบัตรที่บัณฑิตได้รับในวันนี้ เป็นสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องรับรองวิทยฐานะของแต่ละคน ว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในวิชาการ สาขาต่างๆ ตามที่ได้อุตสาหะศึกษาล่าเรียนมา


บัณฑิตทุกคนจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่จะต้องนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ไปใช้สร้างสรรค์ความสำเร็จแก่ตนเองให้สมบูรณ์ ทั้งในด้านอาชีพการงาน ในด้านเกียรติคุณความดี และในด้านการทำประโยชน์เกื้อกูล แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ ถ้าทุกคนจะได้ตระหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบดังนี้ แล้วมุ่งมั่นทำให้จริง ให้สำเร็จครบถ้วนตามที่กล่าว แต่ละคนก็จะได้รับการยอมรับยกย่อง ว่าเป็นผู้ประพฤติตนปฏิบัติงานสมกับวิทยฐานะอย่างแท้จริง…”

สำหรับผู้ที่ไม่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นสิทธิส่วนบุคคล

แต่การดูหมิ่นงานพระราชทานปริญญาบัตร ทำลายความภาคภูมิใจของผู้อื่น ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคล

และการขาดความรับผิดชอบ ไม่มีทางปฏิบัติงานสมกับวิทยฐานะอย่างแท้จริงได้



Written By
More from pp
“องอาจ” ชง กกต. ตั้ง Call Center ตอบข้อสงสัยระเบียบเลือกตั้ง ส.ส. ย้ำให้ กกต. ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา
25 กันยายน 2565-นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงระเบียบของ กกต. ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส....
Read More
0 replies on “อย่าจุดชนวนแห่งวิปโยค”