“วาทะนายกฯ ที่ต้องบันทึก”

“ม็อบชีสเค้ก” ของคณะสามสัส ดูๆไปแล้ว เป่าตูดกันซะเวอร์เกิน!
“เพนกวิน-รุ้ง” อะไรนั่น
เมื่อถูกเชิด ก็พลอยพองลม เคลิ้มว่าท่านปรีดีประทับทรง เบาหวานเลยขึ้น ดีซ่านแทรก ออกอาการไฟธาตุแตก
เพ้อจะสานต่อเจตนารมณ์คณะราษฏร ๒๔๗๕
ล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนประเทศเป็นระบบประธานาธิบดี!

เคราะห์ดีนะ ที่กินชีสเค้กแล้วคลั่งในพศ.๒๕๖๓
ถ้าคลั่งในพศ.๒๕๐๐ ยุคจอมพลสฤษดิ์ละก็ ที่บอกจะยึดสนามหลวงน่ะ ได้ยึดแน่
แต่ไม่ใช่ตัวสนามหลวง……
เป็นมะขามต้นใด-ต้นหนึ่งรอบๆ สนามหลวง หมู ๒ ตัวถูกจับมัดโคนต้น แล้วให้คนเข้าคิว เอานิ้วไปจี้สะเอวให้จั๊กจี้จนขี้เยี่ยวราด

แล้วดูซิ ผีคณะราษฏรจะทนสิงอยู่ได้มั้ย?
ไม่ต้องไปทำอะไรรุนแรงหรอก ลองเป็นรุ่นใหม่หมูตอนตั้งแต่ขนอ่อนระบัดอย่างนี้ แถมขม้ำชีสเค้กเป็นอาจินต์ ทำหัวสูงซะด้วยนะ ต้องกระดกไวน์แทนกะแช่
ไม่ช้า-ไม่นาน
ไขมันอุดตันเส้นเลือดเป็น “ชายน้อย” ประจำบ้านทรายไทยซัมมิทไปเองจนได้!

ที่ร้าย ก็พวก “ไอ้ห้อย-ไอ้โหน” ที่สุมฟืน-สุมไฟ หวังฉกฉวยสถานการณ์ตีกินทางการเมืองในสภา-นอกสภานั่นแหละ

ก็ดูซี …
ยังไม่ทันไร ด้วยเล่ห์นายทุน ฉวยโอกาสขายสินค้า “ถอนทุน-บวกกำไร” กับพวกงั่งที่จะมานั่ง-มานอน ดูหมูชีสเค้กเข้าทรงท่านอาจารย์ปรีดี

ก็บอกไว้เลย แผนเขาเจตนายั่วยุให้รัฐบาลตบะแตกแล้วตุ๊บตั๊บ แต่นายกฯ ท่านบอกแล้ว เด็กๆ เหล่านี้ เหมือนลูกหลานที่เขายุ ก็ซนตามประสาเหลิง

รัฐบาลไม่ทำอะไรแน่
แต่ที่แน่ๆ พวกเขาเองที่เรียก “มือที่ ๓” นั่นแหละจะลงมือ สร้างข่าวโยนขี้่ให้รัฐบาล แล้วปั่นผ่าน “โซเชียลมีเดีย” กระจายสู่มือถือทุกคน

เห็นปุ๊บ ร้อยละ ๗๐-๘๐ ก็จะเชื่อปุ๊บทันที!
มนุษย์ยุคไอที อะไรมาก่อน เชื่อก่อนทั้งนั้น ข่าวมาทีหลังเป็นข่าวแก้ตัว ดังนั้น ต่อให้รัฐบาลเอาความจริงมาแจงขนาดไหน พูดทีหลัง พวกที่ฝังใจเชื่อไปแล้ว มันก็ไม่ฟัง
นอกจากไม่ฟัง ยังบอกว่า “รัฐบาลแก้ตัว”

นี่…
สังคมนิ้วจิ้มมันเป็นอย่างนี้ แพ้-ชนะ อยู่ที่ฝ่ายไหนจะป้อนข่าวสาร-ข้อมูล เป็นวัคซีนซึมเข้าตัวมวลชนได้ก่อน
โลกวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ truth
หากแต่ติดแน่นอยู่กับ fake ที่มากับความเร็ว!

ก็อยู่ที่รัฐบาลนั่นแหละ แต่ผมเชื่อ “นายกฯประยุทธ์” ท่านรู้ และคงเตรียมทางแก้หมากไอที ทำความเข้าใจกับองค์การระหว่างประเทศไว้แล้ว
ก็อย่าลืม…ช้าเป็นการ นานเป็นจำเลยโลกไอที!

นายกฯ ประยุทธ์เดี๋ยวนี้ เหมือนปลากัดเปลี่ยนน้ำ-เปลี่ยนอ่าง เมื่อเข้าสู่อ่างรัฐสภา จากเผด็จการทหาร เป็นนายกฯ เลือกตั้ง
ก็เยิ่นกับพวกเผด็จการรัฐสภาในคราบประชาธิปไตย มึงกัดมา-กูกรีดกลับ จนพวกคราบประชาธิปไตยหางขาด-ครีบลุ่ยกระจุย-กระเจิง

ใครติดตามดูการประชุมสภาเมื่อ ๙ กันยา. ที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายทั่วไป เจตนารุมด่านายกฯ โดยตรง ก็คงเห็นจริงตามที่ผมพูด

วันนั้น-คืนนั้น นายกฯ รับมือฝ่ายค้านที่ฮื่อแฮ่โจนใส่ทั้งฝูง เป็นที่ฮือฮาไปทั้งยุทธจักร ว่าประยุทธ์ “กระบี่เดียวค้ำฟ้า”

ตั้งแต่อดีตนายกฯ ชวนครองตำแหน่ง “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง” ในรัฐสภา สบัดฉับ เลือดกระฉูด ก็เพิ่งครั้งนี้แหละ เกิดดาวดวงใหม่เทียบเคียงกับมือมีดโกน
รุมเข้ามา ๑ ต่อ ๑๐ …….

๑ ตวัดปลายกระบี่กรีดหน้าสั่งสอน ๑๐ หน้าแหกเลือดซิบ-เลือดโซกไปตามๆ กัน
ดูหน่อยก็ได้ ผมเก็บจากข่าว เพจ @Super Lungtoo บ้าง “ขยี้ข่าวเช้า 10 ก.ย. 63 NationTV22 “ของคุณสันติสุข มะโรงศรี บ้าง รายการวันที่ ๑๐ แนะนำให้ไปเปิดดูย้อนหลัง

เมื่อฝ่ายค้านเวียนหน้าขึ้นมากัดสะบัดจิกแต่ละรายแล้ว นายกฯ ก็ลุกขึ้นโต้กลับ เช่นว่า
………..
“คำว่าเผด็จการ ผมได้ฟังมาตลอด คือ เผด็จการทหาร แต่คิดว่ามีคำคู่กัน..คงไม่ลืมมั้ง คือเผด็จการรัฐสภา ก็ไม่รู้ว่าสมัยใครนะ”
(หน้าแหกไปถึงตัวพ่อเลย)
…………..
“เราพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อดูแลแก้ไขทุกอย่างให้ฟื้นคืนมาสู่ปกติโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าไปสู่การพัฒนาประเทศในระยะต่อไป
แม้จะมีอุปสรรคแต่เราก็มีความเพียรพยายาม เพราะเราคิดถึง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
เราจำเป็นต้องทำด้วยความรอบคอบระมัดระวังภายใต้ข้อกฏหมายและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด การกู้เงินต่างๆ ถ้าจำเป็นก็ต้องกู้ ถ้าไม่มีเหตุการณ์มันก็คงไม่ต้องกู้”
(กู้เพราะเหตุการณ์โควิด ไม่ได้กู้มาโกง (เหมือนพวกมึง) แอนตาซินไม่รับเย็บไปอีก)
………..



“ผมเคารพในกระบวนการของรัฐสภามาโดยตลอด ยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้เกิดความชอบธรรมโปร่งใสให้มากที่สุด ป้องกันการทุจรติให้ได้มากที่สุด
มีหลายปัญหาที่พูดกัน ก็เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานแล้ว เผอิญรัฐบาลนี้เข้ามาก็ต้องแก้ปัญหา และเตรียมการแก้ปัญหามาหลายปีด้วยกัน ทั้งเรื่องกฎหมายและกระบวนการต่างๆ
ถ้าไม่เตรียมการ ก็แก้ปัญหาไม่ได้ และทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ ก่อนหน้าผมมา ก็ไม่มีใครอยากทำ หลายปัญหาจึงไม่ได้รับการแก้ไข”
(ก็พวกมึงนั่นแหละขี้ไว้ ยังหน้าด้านพานโทษคนอื่นเขา..เข้าตัวไปอีก)
………..
“ขออย่ารังเกียจทหาร เพราะทหารคือลูกหลานของท่าน ให้เขามีความภาคภูมิใจที่ได้ทำงานด้วยความเสียสละ อดทนต่อคำว่ากล่าว
ขออย่าแยกทหารออกจากประชาชน ทหารไทยทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งป้องกันประเทศ ป้องกันภัยพิบัติ ป้องกันโควิด ถ้าไม่มีทหาร ท่านจะมีใคร”
(ก็มีสามสัสนั่นไง-ฮา!)
…………..



“ที่บอกว่าผมบริหารล้มเหลว ประคับประคองให้เศรษฐกิจฟื้นฟูได้ ไม่ให้เลิกจ้างพนักงาน ก็ต้องขอบคุณท่านในฐานะอดีตรองนายกฯ มีความรู้ดี ท่านก็คุยกับผมมาหลายรอบ
ท่านก็เคยพูดกับผมว่า พร้อมเข้ามาช่วยเป็นรองนายกฯ แต่ผมคงไม่รับ เพราะผมมีครบแล้ว มีเต็มแล้ว เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”
(ตอกกลับการอภิปรายของมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ-ฮากันอีกยก)
…………..
“ผมคิดว่าไม่ได้อะไร เพราะเป็นข้อตกลงของรัฐบาลก่อนหน้าที่จะเข้ามา ขอให้ไปทบทวนดูด้วยว่าสมัยไหนของใคร เมื่อผมเข้ามา ก็ได้สั่งทบทวน
เพราะได้พิจารณาข้อกฎหมายแล้วเสียเปรียบทุกอย่าง เพราะท่านไปเซ็นสัญญากันไว้ รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะแก้ปัญหา แต่แก้ไม่ได้ เพราะพันด้วยสัญญาที่ทำกันไว้ก่อนหน้าที่จะข้ามา”
(หน้าหงายไปอีก เมื่อถูกแฉกลับ ที่กล่าวหารัฐบาลนี้ได้รับผลประโยชน์เรื่องโรงไฟฟ้า ที่แท้ก็เซ็นสัญญากันไว้แต่สมัยนังสำปะแหลดนั่นแหละ)
………..



“คำแนะนำให้ผมลาออก ถึงเวลาผมก็บริหารเอง ดีที่ท่านไม่แนะนำให้ผมหนีคดี ผมคงไม่หนี ผมไม่ทะเลาะกับท่าน
ขอขอบคุณสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ผมจะได้ทำงานของผมซะที มีงานค้างอยู่เยอะ ท่านก็มี
การเรียกส่วนราชการมาชี้แจงบ่อยๆ ในเรื่องเดิมๆ ทำให้ไม่มีเวลา ขอให้เบาๆ ลงหน่อยแล้วกัน จะได้ทำงานได้เร็วขึ้น ขอบคุณ และสวัสดี”
(กระบี่สุดท้ายตวัดใส่หน้าสุทิน คลังแสง จนเลือดกระเซ็นซกๆ ไปตามช่องทางธรรมชาติ ไหลโกรกไปจนถึงลอนดอน)
จากนั้น ท่านประธานชวน สั่งปิดสภาตอน ตี ๑ ครึ่ง ก่อนเลือดฝ่ายค้านจะนองท่วมสภา)
……………..



เป็นไงครับ…..
แซ่บยกกำลัง ๒ ไปเลยใช่มั้ย?
แต่ที่ไม่แซ่บ หนักไปทางโลกซก ก็นายทิม พิธา หลานนายผดุง บ่าวทักษิณ ในฐานะหัวหน้าพรรคร่างทรงธนาธร
อยากอภิปรายโชว์การด่านายกฯ…

แต่ดันขึ้นมาอ่านโพยทั้งแผ่นประกอบแอคชั่น… “นายกฯ ที่แย่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ออกไปเถอะครับ”

ใครร่างให้เนี่ย คมบาดตูดเลย!
ที่แย่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ก็รุ่นใหม่อย่างนายทิม พิธา ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นหัวหน้าเห่ยๆ คนนี้แหละ
ด่านายกฯไม่นิ่มเหมือนซ้อมผู้หญิงหรอกนะ!

 


Written By
More from plew
“การประเทศ” เรื่อง “เอเปก” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน เราไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกันมานานนะ เพราะไม่เห็นสาระจะคุย นอกจากน้ำลายพวกนอนฝันกลางวันไหลหยำเหยอะ
Read More
0 replies on ““วาทะนายกฯ ที่ต้องบันทึก””