พีระพันธุ์ “คนหวานไม่เป็น” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

ผมชอบรัฐมนตรี “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” แฮะ!
ท่านเป็นคนชัดเจน
ในการทำงาน ไม่ต้องการหวานให้คนรัก ชอบโผงผาง-ตรงไปตรงมา ใครเกลียด ก็เรื่องมึง

งานที่ทำ มีผลสำเร็จ เพื่อสังคมชาติบ้านเมืองและประชาชน นี่เรื่องที่กูปรารถนา!

ที่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟไม่ต้องเสีย “ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท”

ก็ฝีมือท่าน “พีระพันธุ์” สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์คนนี้แหละ สู้ด้วยการหักล้างกันด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจนชนะ

“การบินไทย” ที่อยู่ในสภาพศพคาห้องดับจิต หนึ่งในทีมที่ทำให้กลับมีลมหายใจ ฟื้นขึ้นมาและลุกขึ้นวิ่ง เป็นการบินไทย แข็งแรงกระดี๊กระด๊า ทุกวันนี้

ก็รัฐมนตรี “พีระพันธุ์” ในยุคนายกฯ ประยุทธ์คนเดียวกันนี้แหละ หัวเรี่ยว-หัวแรง “ฟื้นชีพการบินไทย” ตอนนี้โก้ กินขนมปังแทนกินปาท่องโก๋ยาไส้แล้ว

คนอย่างนี้ ในทางการเมือง ถึง “งานดี-งานเด่น”
แต่ “ปากไม่ดี, ประจี๋-ประจ๋อไม่เป็น” แถม “เถนตรง-โกงไม่เป็น” แบบนี้ด้วยละก็
รุ่งในสนามเลือกตั้งยาก ไม่โกงเอามาแบ่งปัน ชาวบ้านไม่ชอบ

นักการเมืองด้วยกันก็เหอะ “บางพรรค-บางคน” ก็ไม่ชอบ!

แต่ในทาง “เพื่อบ้าน-เพื่อเมือง”
คนอย่างท่านพีระพันธุ์ ถ้าชาววิไล ส่งเสริมให้มีพื้นที่ยืนในงานบริหารชาติบ้านเมืองต่อเนื่องละก็
ชาติบ้านเมือง รุ่งแน่!

เรื่อง “ค่าไฟฟ้า” ที่ชาวบ้านกลายเป็น “ถังขยะ” ให้รัฐบาลเพื่อไทย โกยสารพัดขยะใส่

ลืมสิ้น ที่ตะโกนตอนหาเสียง “ค่าไฟ..ค่าน้ำมัน ลดทันที” ชนิดคำว่า “อัปรีย์” ยังสูงเกินไปนั้น!

ไตรมาส ๔ “กันยา-ธันวา” คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เคาะแล้ว เมื่อ ๑๐ ก.ย.ภายใต้เงื่อนไข ว่า

หากนำ “ต้นทุน” และการ “คืนหนี้” ให้ กฟผ.๙๘,๐๐๐ ล้านบาท มาคำนวณ รวมกับค่าไฟฟ้าฐาน ที่ ๓.๗๘บาท/หน่วย
จะทำให้ค่าไฟที่ ๔.๑๘ บาท/หน่วย ขณะนี้ เพิ่มขึ้นเป็น ๔.๖๕-๖.๐๑ บาท/หน่วย

คือราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณ ๔๖-๑๘๑ สตางค์/หน่วย!

ชาวบ้านก็เป็นไก่ ถูกรัฐบาลเอาไม้เสียบตูดเผา หมุนไป-ก็หมุนมา ไปเท่านั้น

ไม่แค่ระดับชาวบ้าน “สภาอุตสาหกรรม” ยังร้องโอ้ก!

แล้ว “นายกฯ ประเทศไทย” นามว่าเศรษฐา ว่าไง?

ผมสั่งการให้ “กระทรวงพลังงาน” นำเอามาตรการช่วยเหลือประชาชนจากการปรับขึ้นค่าไฟ เข้าครม.สัปดาห์หน้า ที่ ๒๓ ก.ค.ที่จะถึงนี้

แล้วรัฐมนตรีพลังงาน “พีระพันธุ์” ว่าไง………
“เชิญประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)และประธานคณะกรรมการ บมจ. ปตท. (PTT) มาหารือร่วมกัน

ได้ข้อยุติ ที่จะตรึงค่าไฟงวดใหม่ไว้ที่ ๔.๑๘บาท/หน่วยตามเดิม

“ต้องให้เครดิต ปตท…..
เพราะทาง ปตท.ไม่รับเงินตอบแทนใดๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลย เพื่อช่วยเหลือประชาชน”

รัฐมนตรีพีระพันธุ์ ยังบอกด้วยว่า….
“การช่วยประชาชน ไม่ว่าจะค่าไฟฟ้าหรือน้ำมัน ไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงาน เพียงกระทรวงเดียว แต่ต้องประสานทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงราคาน้ำมันที่กระทรวงพลังงานพยายามตรึงไว้ที่ราคาเดิมที่ ๓๓ บาท/ลิตร

แต่ปัจจุบัน “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ภาระหนี้สินมากขึ้น การจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ ต้อง “ปรับลดภาษี” ด้วย

ผมพยายามปรับปรุงกฏหมายอยู่….
ขณะนี้ยกร่าง “กฎหมายฉบับที่ ๑” เกี่ยวกับการดูแลราคาน้ำมันประจำวันเสร็จแล้ว
อยู่ระหว่างทบทวนความถูกต้อง ก่อนเสนอให้นายกฯ รับทราบ”

สรุป ปัญหาเฉพาะหน้า หลุดไปเปลาะ แล้วในระยะยาวล่ะ จะแก้ยังไง?

การแก้ปัญหาแบบ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ไปแต่ละมื้อ ผมสังเกตว่า นั่นไม่ใช่สไตล์การทำงานของคนชื่อพีระพันธุ์

คงด้วยสายเลือด จากที่เคยเป็น “ผู้พิพากษา” มาก่อน ทั้งพ่อของท่าน “พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค”

อดีตเป็นทั้ง “ปลัดกระทรวงพาณิชย์” และ “เจ้ากรมการพลังงานทหาร” ผู้ริเริ่มขุดเจาะน้ำมันที่อำเภอฝาง เชียงใหม่
เป็นผู้ก่อตั้ง “ปั๊มน้ำมันสามทหาร”

ฉะนั้น ปัญหาน้ำมัน รัฐมนตรีพีระพันธุ์ จะไม่แก้ปัญหาชนิด “ตัดตอน” จะต้องแก้ “ชนิดถาวร” ด้วยการรื้อโครงสร้างแน่

สังเกตจากสไตล์ทำงาน ไม่ว่าปัญหาใด ถ้าจะแก้ ท่านจะสาวจากปลายลงไปจนถึงราก แล้วแก้ปัญหาที่ต้นราก
มิใช่ทำงานแบบ “ถากหญ้าหน้าดิน”

เรียบชั่วคราว หมาเยี่ยวรด อีกเดือน-ครึ่งเดือน หญ้าก็ท่วมเหมือนเดิมอีก ซึ่งนี่ มิใช่ สไตล์พีระพันธุ์

ปัญหาพลังงาน ว่าด้วย “ค่าน้ำมัน-ค่าไฟ” นี่เช่นกัน เมื่อเข้ามา
ท่าน “รื้อกฎหมาย” ที่เกี่ยวกับพลังงานและ “กลไกสร้างราคา” ขึ้นมาศึกษา มุ่งแก้จากต้นราก เป็นการแก้ถาวร

ทุกวันนี้ ไฟฟ้าแพง คนก็ด่ากฟผ., น้ำแพง-แก๊สแพง คนด่าปตท. ทั้งกฟผ.ทั้งปตท.ตกอยู่ในสภาพ “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง
แต่ต้อง เอากระดูกมาแขวนคอ” ตลอด!

เพราะราคาขาย มันมาจาก “ระบบภาษี” ภาครัฐและกองทุนต่างๆ ซึ่งปตท.-กฟผ.ไม่มีสิทธิ์ ไปกำหนดอะไรได้ทั้งสิ้น!

จะแยกให้เห็นคร่าวๆ ว่าราคา “น้ำมัน ๑ ลิตร” มีที่มาจากไหนบ้าง?

๔๐-๖๐% ต้นทุนเนื้อน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น
-๓๐-๔๐% เป็นภาษีสรรพสามิต
-๑๐%ภาษีเทศบาล มหาดไทยนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่น
-๗% ภาษีมูลค่าเพิ่ม
-๗%ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด

๕-๒๐% จัดเก็บโดย “กองทุนต่างๆ”
-กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน
-กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน และ

๑๐-๑๘% ค่าการตลาด

เนี่ย โครงสร้างราคาน้ำมัน มันเป็นอย่างนี้ จะว่ารัฐบาลก็ยาก ถ้าไม่เก็บภาษี จะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาประเทศล่ะ?

แล้วจะแก้ยังไง?
เป็นคำถาม “กำปั้นทุบดิน” ก็จริง แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงดินนี้แหละ บางอย่างก็ซ้ำซ้อน บางอย่างก็มากไป บางอย่างก็มักได้เกินไป

ทางที่ดี ก็ต้องนำทั้งหมดมา “รื้อ” จัดระบบกันใหม่ ส่วนจะจัดแบบไหน-อย่างไร ลองฟังที่ท่านพีระพันธุ์แย้มไว้ละกัน

“สำหรับค่าไฟฟ้า ยืนยัน คงไว้ที่หน่วยละ ๔.๑๘ บาท กลุ่มเปราะบาง ที่หน่วยละ ๓.๙๙ บาท

ที่เป็นปัญหาคือ “ราคาน้ำมัน” รัฐบาลชุดที่แล้วตรึงราคาดีเซลไว้ที่ลิตรละ ๓๐ บาท

แต่ปัจจุบันใช้ระบบ “กองทุนน้ำมัน” รักษาระดับราคาน้ำมันตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย กับการเอาเงินไปรักษาระดับราคาน้ำมัน

แต่เมื่อรูปแบบเป็นเช่นนี้ “กระทรวงพลังงาน” จึงพิจารณาศึกษาปรับปรุงแก้ไขปัญหานี้
ที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้ “ราคาต้นทุน” ของน้ำมันเลย

จึงออกประกาศกระทรวงพลังงาน ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมัน ต้อง “แจ้งต้นทุน” ให้กระทรวงพลังงานทราบ ถือเป็นครั้งแรก ที่มีการ “แจ้งราคา” ต้นทุนน้ำมัน

อีกส่วนหนึ่ง “ภาษีน้ำมัน” มีมูลค่าสูง ไม่ต่างจากราคา “ต้นทุนน้ำมัน” เช่น หักค่าน้ำมัน ลิตรละ ๔๕ บาท
ภาษีน้ำมัน ก็จะอยู่ที่ประมาณ ๔๐ บาท ถือว่า “สูงมาก”

อีกทั้งการ “จัดเก็บภาษีน้ำมัน” คณะกรรมการกองทุนน้ำมันจะมีอำนาจกำหนดเพดานการจัดเก็บ
แต่ขณะนี้อำนาจดังกล่าว “หายไป”

จึงต้องแก้ไข ให้กระทรวงพลังงาน มีอำนาจ “กำหนดเพดาน” การจัดเก็บภาษีน้ำมัน

หากกระทรวงพลังงาน “กำหนดเพดาน” ได้เอง ก็จะมีเงินเพียงพอสำหรับการ “อุดหนุนราคาน้ำมัน”

แต่ปัจจุบัน เมื่อยังไม่สามารถทำได้ ก็จำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนจาก “กองทุนน้ำมัน”แทน”

ที่เห็นท่านหายไปหลายวัน โน่นครับ รัฐมนตรีกับปลัดพลังงาน เดินทางไปเจรจาเรื่องน้ำมันที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย

เห็นแว่วๆ ด้วยว่า ท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ กำลังคุยกับรัฐมนตรีพลังงานรัสเซีย หาช่องทางด้านธุรกิจน้ำมันกันอยู่

เรื่องน้ำมันกับรัสเซีย มีคนจำนวนมากคิดว่า ทำไมไทยไม่ซื้อน้ำมันรัสเซียล่ะ ราคาถูกกว่าด้วย

ใครก็อยากซื้อ แต่มันมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่ไม่เอื้อให้ทำได้สะดวกราบรื่นตามที่คิด

อีกอย่าง การซื้อ-ขายน้ำมัน ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล การเป็น “สว่านนำร่อง” เพื่อทางอนาคต

นั่นพูดได้ว่า เป็นภารกิจ “ทางจิตสำนึก” คนเป็นรัฐมนตรีพลังงาน ซึ่งยังไงๆ ก็ดีกว่า
“คนใช้เงินหลวง”

แต่ไปเป็นเซลแมน “ขายคอนโด-ขายแผ่นดิน” ให้ต่างชาติ ๙๙ ปี จิมิ..จิมิ!

เปลว สีเงิน
๒๐ กรกฏาคม ๒๕๖๗

Line Open Chat เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ พร้อมพูดคุย แสดงความคิดเห็น เรื่องการบ้านการเมือง สังคม หรืออื่นๆ กับคนคอเดียวกัน
Written By
More from plew
“ที่เห็น-ที่หาย” ในอีสาน “น้ำท่วม”
“น้ำท่วมอีสาน” ท่านมองเห็นอะไร? เยอะแยะ…….. เห็นคนบนหลังคา เห็นหมาติดเกาะ เห็นถนนพัง เห็นถนนล่อนเป็นแผ่นๆ เห็นครัวพระราชทาน เห็นข้าราชการพื้นที่ และ เห็นทหาร! แล้วเห็นอะไรอีก?...
Read More
0 replies on “พีระพันธุ์ “คนหวานไม่เป็น” #เปลวสีเงิน”