18 ส.ค. 63 เวลา 13.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี พร้อมแนะนำ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยให้เน้นการทำงานในรูปแบบ New Normal ตามนโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ” ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ให้มีการพบปะเพิ่มการสื่อสารออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงนโยบายของรัฐบาลทั้งที่ดำเนินการแล้วและในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า วันพรุ่งนี้ (19 ส.ค. 63) จะมีการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม เป็นการทำงานในรูปแบบของ คณะกรรมการ ผ่านอนุกรรมการ คล้ายคลึงกับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ แต่จะเพิ่มอนุกรรมการเพื่อให้ครอบคลุมสมาคม กิจกรรมต่างๆ
นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจ้างงาน ซึ่งมีกระทรวงแรงงานเป็นเจ้าภาพในการจัด Expo เพื่อบริการจัดหางานกว่าหลายแสนตำแหน่ง ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ขอให้ทุกฝ่ายเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงความสำคัญในการลงทุนจากภาครัฐ ภาคเอกชนและต่างชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหารายกลุ่ม ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจพร้อมที่จะทำงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการประกันราคาสินค้าต่าง ๆ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งการปลดล็อคเพื่อช่วยกลุ่มผู้เดือดร้อน อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังต้องคำนึงงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงงบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ที่จะต้องมาบริหารจัดการช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง
นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เร่งรัดการพัฒนาเด็กนักเรียน บุคลากรทางด้านการศึกษา และสถาบันการศึกษา ยกระดับมาตรฐานการประเมินผลให้มีความทันสมัย แก้ไขอุปสรรคต่าง ๆ ปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้เยาวชนได้มีเวลาว่างนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชุมชนของตน
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งบางประเทศเกิดการแพร่ระบาดซ้ำ เนื่องจากแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รวดเร็วเกินไป แต่ไทยได้ดำเนินการทยอยเปิดบางกิจการ/กิจกรรมที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระดับฐานราก เช่น การท่องเที่ยว การรักษาพยาบาลในโรงพยาลรัฐและเอกชน ที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Medical Hub ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือของภาคประชาชนในพื้นที่ วอนทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ฝ่าวิกฤตประเทศไทยในเวลานี้ไปด้วยกัน