เกิดมาทั้งทีชีวิต ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่มนุษย์ชาติให้แก่โลก บุญกุศลเหล่านั้นไม่ไปไหน ก็หลั่งไหลเข้ามาสู่จิตใจของคนๆนั้น เกิดภพใดชาติใดบุญกุศลก็นำพาไปเกิดในชาติภพที่ดี จากนั้นก็พยายามสั่งสมความดีไปเรื่อยๆ สั่งสมบารมีไปเรื่อยๆ เมื่อบารมีแก่กล้าแล้ว นั่นล่ะ ก็พร้อมที่จะตัดกิเลส โลภ โกรธ หลง
เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ ทีแรกเราปลูกขึ้นมาก็มีเมล็ด พอจากนั้นก็เป็นแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นมา เป็นต้นเป็นลำ พอเป็นต้นเป็นลำมันก็ต้องอาศัยหยั่งไปในดิน ต่อไปก็มีเปลือกมีกระพี้ เป็นแก่น แก่นก็คือจุดประสงค์ของเรา
การสั่งสมคุณงามความดี เหมือนกับเราปลูกคุณงามความดีไว้ในใจของเรา ต่อไปจิตใจเราก็เข้มแข็ง มีทาน มีศีล มีภาวนาเป็นเครื่องห่อหุ้ม
คนมีทานมีการเสียสละ พระพุทธเจ้าท่านว่าไปสถานที่ใด เกิด ณ สถานที่ใด ถึงจะอยู่ในสถานที่อดอยาก แต่คนนั้นเขาก็ยังมีความสุขสมบูรณ์มากกว่าใครอื่นในบริเวณนั้นในละแวกนั้น ถ้าหากไปเกิดเป็นสัตว์หรือมนุษย์กลุ่มใดก็ตามจะเหนือกว่ามนุษย์กลุ่มนั้น เพราะอานิสงส์ทาน
อานิสงส์ศีล ถ้าเรารักษาศีลดี ไปเกิดในชุมชนใดชุมชนนั้นก็ดูแลปกป้องเรา เพราะอานิสงส์ศีลของเรา ไม่เคยเบียดเบียนใคร ไปในสถานที่ใดชุมชนนั้นก็ดูแลปกป้องให้ชีวิตทั้งชีวิตของเราราบรื่น
อานิสงส์ภาวนาก็เหมือนกัน จิตใจของเราไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่วิตกกังวล ไม่ทุกข์กับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มันมากระทบกระแทก เราพร้อมที่จะเป็นตัวของตัวได้ เพราะอานิสงส์ในการภาวนาของเรา จิตใจของเราไม่หวั่นไหวไกวแกว่ง ไม่วิตกกังวลกับเรื่องทั้งหลายทั้งปวงจนเกินไป พร้อมที่จะประคับประคองใจเราได้ นี่แหละอานิสงส์ของการภาวนา
อานิสงส์ในการทำบุญทำทาน เกื้อกูลหนุนพวกเราให้ไปสู่มรรคผลนิพพาน ถึงพระนิพพานได้ เหมือนกับเปลือกต้นไม้ มันถูกห่อหุ้มทั้งกระพี้ ต้น แก่น จนถึงแก่นเต็มที่แล้วนั่นแหละ มันก็ต้องอาศัยเปลือก ถ้าต้นไม้ไม่มีเปลือกแล้วมันจะเป็นแก่นได้ยังไง
อันนี้ก็เหมือนกัน อานิสงส์ศีล อานิสงส์ทาน มันห่อจิตใจของเราให้เดินสู่มรรคผลนิพพาน จนถึงเป็นพระอริยะบุคคล เป็นพระอรหันต์ได้ ก็ต้องอาศัยเปลือก อาศัยกระพี้ จึงจะมีแก่น เพราะฉะนั้น เรื่องทานเรื่องศีลนี้เป็นเปลือกเป็นกระพี้ เป็นเครื่องเกื้อกูลหนุนส่งพวกเราให้เดินสู่มรรคผลนิพพาน ไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร มันเป็นเครื่องเกื้อกูลหนุนกัน
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อานิสงส์แห่งทานของท่านสีวลี”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕