2 ก.ค.2563 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวมอบนโยบายการบริหารงานและแนวทางในการปฏิบัติงานแก่คณะผู้บริหารและพนักงานธนาคารออมสิน ว่า ภารกิจที่มีความท้าทายคือการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีหนี้ค้างชำระที่ยังไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 3.3 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงินประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ต้องเร่งดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากมีการประเมินว่ามีโอกาสที่หนี้ในส่วนนี้จะกลายเป็นหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น และยังมี NPL ที่อยู่ระหว่างการปรบโครงสร้างหนี้อีก 4 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงิน 6.5 หมื่นล้านบาท
โดยธนาคารได้มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ วงเงิน 5 หมื่นล้านบาทแล้ว เพื่อรองรับและแก้ไขหนี้ในส่วนดังกล่าวให้เป็นหนี้ปกติต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการเตรียมพัฒนาการให้บริการผ่านระบบดิจิทัล ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo ให้สามารถใช้ระบบยืนยันตัวตน (KYC) ตรวจเครดิตบูโร และทำสัญญากับลูกค้าได้โดยที่ไม่ต้องให้ลูกค้าเดินทางมาที่สาขา ซึ่งถือเป็นการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อสนันบสนุนการให้บริการของธนาคาร และเพื่อลดการเดินทางมาสาขาของลูกค้า สอดคล้องกับนโยบายและยังเป็นการรองรับโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการวางแนวทางให้ธนาคารออมสินเป็นธนาคารที่ดูแลประชาชน เศรษฐกิจฐานราก และผู้มีรายได้น้อย เป็นกำลังหลักของประเทศในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จะมีการยกระดับบทบาทในด้านนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น และเป็นรูปธรรมมากขึ้น ผ่านการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวที่มากขึ้น เน้นการทำงานที่มุ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าภาพลักษณ์
“ผมอยากวางบทบาทให้ธนาคารออมสินเป็นธนาคารเพื่อสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่ากำไรของธนาคารจะลดลง แต่อาจจะต้องมานั่งทบทวนว่ารูปแบบการทำธุรกิจที่แข่งขันเชิงพาณิชย์มาก ๆ อาจจะมีการลดขนาด เปลี่ยนจุดเน้น หรือจุดโฟกัส ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกธุรกิจประเภทนี้ แต่อาจจะทำในระดับที่มีกำไรที่พอดี ๆ และสามารถช่วยคนไปพร้อมกัน
ส่วนธุรกิจโดยทั่วไปก็ยังทำอยู่ เพื่อเอากำไรมาหล่อเลี้ยงช่วยผู้มีรายได้น้อย ตรงนี้เป็นความชัดเจน ทำให้ต่อไปจะเป็นธุรกรรม ธุรกิจต่าง ๆ ของธนาคารออมสินที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือสังคมมากขึ้น ออมสินจะกลับมาสู่ตัวตนจริงของเรา ในการช่วยผู้มีรายได้น้อย ช่วยฐานราก อยู่กับสังคม อยู่กับชุมชน” นายวิทัย กล่าว
นายวิทัย กล่าวอีกว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ส่วนกลาง สำนักงานใหญ่ ให้การสนับสนุนการทำงานของสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปได้ตามเป้าหมาย ทุกฝ่ายต้องช่วยและเดินไปด้วยกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องคิดล่วงหน้าไปด้วยกัน โดยก่อนหน้านี้ได้อนุมัติงบค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) เพิ่มเป็น 2 เท่า เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานออมสินในโครงการต่าง ๆ ตามภารกิจ
ส่วนลูกจ้างจะมีเงินโบนัสให้อย่างแน่นอน พร้อมทั้งจะมีการเปิดช่องทางออนไลน์เพื่อเป็นช่องทางให้พนักงานธนาคารออมสินทุกคนสามารถส่งข้อมูลตรงเพื่อนำมาปรับแก้ไข หรือช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นการสื่อสารภายใน เป็นช่องทางในการรับทราบปัญหา และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ เมื่อวางแนวทางให้ธนาคารออมสินเน้นการทำธุรกิจเพื่อสังคมแล้ว ก็อาจจะต้องปรับลดธุรกรรมบางลงบ้าง เช่น การโฆษณา การจัดกิจกรรม ตีกอล์ฟ ไปต่างประเทศ โดยจะทำเท่าที่จำเป็น ดูความคุ้มค่าเป็นหลัก ส่วนธุรกรรมใดที่ประชาชนมีความสงสัย สังคมมีการตั้งคำถาม ก็จะเลิก เรื่องนี้ได้มีการสั่งการอย่างชัดเจนออกไปแล้ว
“เราต้องอยู่บนความคลีน ต้องตอบได้ ธุรกรรมที่ทำต้องมีความคุ้มค่า ที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรผิด ทุกคนทำด้วยความปรารถนาดี แต่ปัจจุบันเป็นยุคโซเชียลแบงก์ ความจำเป็นเรื่องการทำพีอาร์ การจัดกิจกรรมก็อาจจะลดน้อยลงไป เรื่องงานบุญก็ยังทำอยู่ แต่อาจจะลดเรื่องความใหญ่โต ไม่เน้นจำนวนคนที่เข้ามามาก ไม่แข่งเรื่องเงินบริจาค ไม่โชว์ป้าย ไม่มีการเกณฑ์เงิน กำหนดเงิน ไม่มีทั้งสิ้น ธนาคารออมสินต้องกลับมายืนบนตัวตนของเรา” นายวิทัย กล่าว