น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 “การจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ.2564 ของรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19”

1 ก.ค.63 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ว่า โครงสร้างของงบประมาณปี 2564 ที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนไม่เกิน 3.3 ล้านล้านบาท โดยรายจ่ายแบ่งออกได้เป็น 3 รายการใหญ่ๆ คือ

1. รายจ่ายประจำ 2.526 ล้านล้านบาท 2. รายจ่ายลงทุน 6.74 แสนล้านบาท และ 3. รายจ่ายชําระคืนต้นเงินกู้ 99,000 ล้านบาท

เมื่อพิจารณารายจ่ายประจำและรายจ่ายชําระคืนต้นเงินกู้ ซึ่งรวมแล้วเป็นเงินจำนวน 2.625 ล้านล้านบาท ในขณะที่รายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณไว้ 2.677 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้กัน ไม่มีเงินเหลือที่จะพัฒนาปรับปรุงหรือลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ ยกเว้นจะต้องไปกู้มาเพิ่ม ซึ่งฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีความเปราะบางและสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลายเป็นอย่างมาก

รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจได้สร้างรัฐราชการ จึงทำให้มีรายจ่ายประจำสูงขึ้น ประเทศไทยเรามีจำนวนข้าราชการมากกว่าความจําเป็น รัฐบาลจะต้องลดจำนวนข้าราชการลงอย่างจริงจังเพื่อลดรายจ่ายประจำที่ไม่ก่อให้เกิดเงินได้มากที่สุด เพราะรัฐราชการไม่สามารถผลิตภาษีได้ รัฐบาลต้องลดอำนาจรัฐและสร้างรัฐประชาชนที่สามารถผลิตภาษีเป็นรายได้ให้กับประเทศมากกว่า

การจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ของรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19 รัฐบาลยังคงมุ่งเน้นไปที่การวางโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมที่เคยทำมาเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรม เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือถนนเพื่อขนส่งสินค้า เป็นต้น


แต่อุตสาหกรรมหลังวิกฤติโควิด-19 จะเน้นเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย เพราะประชาชนจะให้ความใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น ดังนั้น การวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะต้องสอดคล้องกับอุตสาหกรรมในอนาคตที่จะเป็นฐานการผลิตภาษีแหล่งใหม่

นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการแปลว่าประชาชนขาดกําลังซื้อจึงทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยลง แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มตกต่ำมาตั้งแต่การยึดอำนาจ และหากประมาณการรายได้ปี 2564 ผิดพลาด โดยจัดเก็บได้น้อยกว่าประมาณการซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินนโยบายอะไรที่เป็นการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

นอกจากการดำเนินนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจหดตัวอันจะทำให้งบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เป็นไปตามที่กำหนด รัฐบาลต้องหยุดสร้างภาพความหวาดกลัว แต่เปลี่ยนความหวาดกลัวให้เป็นโอกาส ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลกําลังกระทำจะตรงข้ามกับที่ควรจะเป็น เพราะเพิ่งขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีกโดยไม่มีเหตุความจําเป็น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือประชาชนขาดกําลังซื้อ หรือประชาชนไม่มีรายได้ แต่มีหนี้สูงตามตัวเลขหนี้ครัวเรือน ปัญหาของรัฐบาลคือจะสร้างกําลังซื้อให้เกิดกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้ออกไปจับจ่ายใช้สอย เพื่อสร้างการบริโภคภายในได้อย่างไร ยิ่งการเยียวยาไม่ทั่วถึง ยิ่งทำให้ประชาชนขาดกําลังซื้อมากขึ้นไปอีก

ที่แย่ไปกว่านั้นคือการเยียวยาจะจบลงในเดือนมิถุนายนนี้ อันจะทำให้สถานการณ์ของประเทศแย่หนักขึ้นไปอีก ที่จะสาหัสยิ่งขึ้นคือในเดือนตุลาคมนี้ตัวเลขคนตกงานจะพุ่งสูงขึ้นถึง 7-10 ล้านคน รัฐบาลเตรียมการรับมือไว้อย่างไร นอกจากขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อจํากัดสิทธิเสรีภาพ และเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งดูเหมือนรัฐบาลห่วงเสถียรภาพของตัวเองมากกว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประชาชน

ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะสัดส่วนของงบประมาณและการจัดสรรงบประมาณไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของประเทศ ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่นํามาเป็นฐานในการคํานวณมีความคลาดเคลื่อนผิดไปจากความเป็นจริงอย่างมาก รวมถึงสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะทำให้การใช้เงินสูญเปล่าเป็นภาระแก่งบประมาณ จึงไม่เห็นด้วยกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฉบับนี้

Written By
More from pp
นายกฯ พร้อมผลักดัน “Soft Power” ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก เช่น MV ลิซ่า นำงานหัตถศิลป์ไทยโชว์ทั่วโลก
13 ก.ย.2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความชื่นชมและภูมิใจนักออกแบบไทยสามารถนำวิจิตรศิลป์ของไทยในแขนงต่าง ๆ  มาสร้างสรรค์ร่วมกับอุตสาหกรรมบันเทิงสมัยใหม่
Read More
0 replies on “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 “การจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ.2564 ของรัฐบาลไม่ได้ตอบสนองเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19””