เชื้อสร้างเชื้อ “พลังประชารัฐ”

สรุปเป็นว่า……….
“กบเลือกนาย” ของพรรคพลังประชารัฐ “ลงตัว” เรียบร้อย พลเอกประวิตร ตกปาก-รับคำ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนนายอุตตม สาวนายน
และนายอนุชา นาคาศัย ได้รับการวางตัวเป็นเลขาฯ แทนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
เห็นว่า เสาร์ ๒๗ มิย.ที่จะถึง พรรคจะประกอบพิธีใหญ่เป็นทางการก็ยินดีกับท่านหัวหน้าและเลขาฯ พร้อมกก.บห.ชุดใหม่ของพรรคทุกคน ใครเป็นใครบ้าง อ่านข่าวก็ตาลาย ดูกันเองวันแต่งก็แล้วกัน
เรื่องพรรค-เรื่องการเมือง ในทางเป็นจริง เรื่องหนึ่ง ในทางทฤษฏี-ตำรา มันอีกเรื่องหนึ่ง ตามดูได้ แต่อย่าไปอิน ขืนไปอิน คนที่บ้าไม่ใช่เขา เรานั่นแหละ
เห็นบิ๊กป้อมบอกว่า ที่เข้าไป ไม่ใช่อยากเป็น
หากแต่ข้างในมันยุ่ง
หลายมุ้ง หลายพวก ล้วนแต่มีฤทธิ์ ไม่ค่อยจะยอมกัน จึงต้องเข้าไปเป็น “บิ๊ก…เล็ก-ใหญ่” กินรวบ!

ระยะแรก ด้วยคิดไปทางเดียวกัน ว่าได้พลเอกประวิตรมาเป็นหัวหน้า ที่ทุกคนอยากได้ ก็จะต้อง “ได้หมดสดชื่น”
ฉะนั้น ช่วงนี้ สติกเกอร์ดอกกุหลาบคงสะพรั่งไปทั้งพรรค รวมทั้งตัวบิ๊กป้อมเองด้วย
หมายความว่า ต่อจากนี้ไป……
พลังประชารัฐ ทุกคนจะสมัครสมานเป็นมือหนุนรัฐบาล สานฝัน “รวมไทยสร้างชาติ” ในยุค New Normal ของนายกฯ ประยุทธ์ จนสำเร็จเป็นตัว-เป็นตน?
แฟนๆ ก็อย่าเพิ่งเคลิ้ม เผื่อใจไว้คราง “กูว่าแล้ว” ไว้มั่ง!



กระทั่งพลเอกประวิตรก็เถอะ
พรรคการเมือง ไม่ใช่กองทัพ สส.ไม่ใช่ทหาร ที่คิดว่า เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่ง ทุกคนต้อง…ครับ รับปฏิบัติ ซึ่งกับทหารใช่ แต่กับสส.มันคนละเรื่อง
เรื่องกองทัพ เป็นเรื่องวินัยและหน้าที่
แต่เรื่องพรรค มันเป็นเรื่อง “แล้วผมได้อะไร”?

อย่างที่ส่งเทียบเชิญบิ๊กป้อมเป็นหัวหน้า “ปาก” ทุกคนก็ว่า ท่านเป็นปูชนียบุคคลของทุกคนในพรรค
แต่ “ใจ” แต่ละคน ก็หวัง เมื่อเอาบิ๊กป้อมมา

๑.รสนิยมต้องกัน มองตาก็รู้ใจ
๒.เป็นเกมปูเสื่อใหม่ อาศัยเหตุเปลี่ยนหัวหน้าไปสู่คำว่า “ปรับครม.” และ
๓.บิ๊กป้อมไม่ขัดใคร ขอเก้าอี้ไหน ได้ทุกคน

พลเอกประวิตรก็หวัง หวังด้วยเจตนาดีต่อสถานะรัฐบาลที่ “น้องเล็ก” ของท่านเป็นนายกฯ
คือเข้าไปแล้ว ……..
จะช่วยให้พรรคเกิดเอกภาพเป็นปึกแผ่นได้ และเข้าใจดีในคำว่า “ดูแล” ระหว่างคนเป็นหัวหน้า-เลขาฯ พึงปฏิบัติต่อลูกพรรค
การเมืองระบบรัฐสภา หัวใจไม่ได้อยู่ที่ถ่วงดุล-ตรวจสอบ แต่อยู่ที่มือยก

ฉะนั้น รักจะเป็นรัฐบาลนานๆ ก็ต้องหมั่นบำรุงกำลังข้อ-กำลังแขนลูกพรรคให้แข็ง ปล่อยให้อ่อนแรง ก็พัง!
เนี่ย…..
ทั้งบิ๊กป้อมและคณะพรรคพลังประชารัฐ อยู่ในช่วง “มีดาวคนละดวง” เจิดจรัสอยู่ในใจ
ตอนนี้ จึงดู “ปูด้วยกลีบกุหลาบ”
เห็นมั้ยล่ะ ยังไม่ทันไร ทั้งสส.พรรคเล็ก-พรรคใหญ่ ออกมาขอเก้าอี้-จองเก้าอี้รัฐมนตรีกันสนุกสนาน จนนายกฯ ต้องเปรยเมื่อวาน(๒๓ มิย.)

เสนอกันจนล้นแล้วมั้ง ใครก็เสนอได้ แต่จะตั้งใคร “อยู่ที่ผม” ประมาณนั้น
เรียกว่า หงายฝาบาตรวางไว้ ใครจะใส่อะไรก็ใส่ แต่อาตมาจะฉันหรือไม่ ต้องพิจารณาปัจจเวกก่อน
คือ สิ่งนั้น บริสุทธิ์มั้ย ยี้มั้ย ฉันได้มั้ย ฉันแล้วเป็นโทษหรือเป็นคุณ แล้วเลือกเอาเฉพาะที่เป็นคุณ



ทำไมต้องหงายฝาบาตรไว้?
อ้าว…จะต้องไปตัดรอนศรัทธาตอนนี้ทำไม ก็พรบ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี ๖๔ ยังไม่ผ่านสภาเลย ต้นเดือนหน้า คือต้นกรกฏา.สภาถึงจะประชุมพิจารณาวาระแรก
นั่นคือ มือสส.เป็นที่พึ่ง-ที่หวังประเสริฐ ถ้าไปทำให้สส.ก๊กใด-ก๊กหนึ่งไม่สดชื่นตอนนี้ มันมีผลนะโยม
ถ้าไม่ยก พรบ.งบประมาณคว่ำ รัฐบาลก็ต้องคว่ำตามไปสถานเดียว ฉะนั้น ต้องไม่ทำให้ทุกสส.ในพรรคไม่พอใจ
ก็หมายความว่า ตอนนี้ ยังไม่มีอะไร
งบประมาณ ๖๔ ผ่านเรียบร้อย เข้าสู่โหมดทวงถามเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี สิงหา-กันยา ค่อยดูกันอีกที ว่ารักนี้อีกนาน หรือเป็น “รักทรมาน” สู่บ้านแตก

เพราะที่นายกฯพูดเมื่อวาน ชัดอย่างหนึ่งว่า ลงท้าย ก็ต้องปรับครม.เพียงแต่ ไม่ใช่ปรับช่วงนี้เท่านั้น
และการปรับนั้น ก็อย่างที่บอก เสนอใครมาก็ได้ แต่การพิจารณาปัจจเวก ท่านสงวนสิทธิ์
และนั่น ๔ กุมาร จะไม่เหลือเป็นเยื่อเลยซักกุมาร ถ้าเราเป็นนายกฯ จะทำถึงขนาดนั้นมั้ย และอีกอย่าง คนที่จะเอาออก กับคนที่จะเอาเข้า
เฉิดฉันกว่า หรือเข้ามาแล้ว พาให้ทั้งตัวนายกฯ และภาพรัฐบาล “อับเศร้าหมองศรี?”
ตรง “ตัดตัว” ขึ้นนั่งเก้าอี้นี่แหละ จะเป็นตัววัดบารมีพลเอกประวิตรของจริง

ที่ทุกคนบอกเป็นปูชนียบุคคล นั้น เมื่อสมหวัง-ผิดหวัง ยังจะยอมฟัง หรือเรียงแถวรื้อทิ้ง?
การเมืองเรื่องพรรคนั้น พลเอกประวิตร ย่อมต้องเอาใจทุกก๊วน-ทุกก๊กในพรรค
แต่การเมืองเรื่องบ้านเมือง พลเอกประยุทธ์ในฐานะนายกฯ ต้องทั้งเอาใจประชาชน ทั้งหรี่ตาดูฝ่ายค้านด้วย
ก็จะเห็นว่า…….
แนวที่พลเอกประวิตร คิดว่าจำเป็นต้องเสนอชื่อคนนั้นๆ เป็นรัฐมนตรี กับแนวที่นายกฯ คิดว่า คนเช่นนั้น ไม่จำเป็นและไม่คู่ควร
มันเป็น “เส้นขนาน” ชัดเจนแต่เริ่ม ถึงตอนนี้ แนวนั้นของนายกฯ ก็ยังไม่เปลี่ยน
ขณะเข้าด้าย-เข้าเข็ม มันก็เริ่มยุ่งแล้ว
เมื่อถึงขั้น แต่ละคนรู้แล้ว “ใครได้-ใครไม่ได้” ที่พับเพียบเรียบไว้ มันจะวุ่นวาย-ยุ่งเหยิงขนาดไหน?



ผมถึงมองว่า อย่างช้า ลากได้ถึงต้นปี ๖๔ ก็คงสุดล้า ดังนั้น การยุบสภา มีความน่าจะเป็น!
ผมไม่ได้ประเมินต่ำ
หากแต่ กับบรรดาสส.ประเภทโอปปาติกะ เกิดขึ้นก็โตใหญ่ ล้วนเหาะด้วยฤทธิ์ นำปริมาณของแต่ะก๊วนมารวมกันเป็นพรรคพลังประชารัฐแลกเก้าอี้รัฐมนตรี
ถ้าจะเรียกเป้าหมายของเขาว่า “อุดมการณ์ทางการเมือง” ก็ต้องบอกว่า…….


อุดมการณ์ของเหล่าโอปปาติกะในพลังประชารัฐ อยู่ที่เก้าอี้ ไม่ได้อยู่ที่หวังอุ้มคนดีเป็นนายกฯ โดยตรงหรอก
ดังนั้น ถ้าไม่ได้ ก็หมายความว่า แนวทางพลังประชารัฐ ขัดต่ออุดมการทางการเมืองของเขา
แล้วจะอยู่ร่วมกันได้หรือ เมื่อเขาไม่เป็นสุข รัฐบาลที่ไม่มีเขา ก็ไม่ควรได้อยู่เสวยสุข!
ประชาธิปไตยเลือกตั้ง ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ที่เห็นซับซ้อน เพราะเอาใจวิญญูชนไปวัดใจโจรกันเอง

ก็อยากให้ที่ผมมองนี้ “ผิด”!
คืออยากให้เหล่าโอปปาติกะเป็นแบบ “มืดมา สว่างไป” แต่ละคน ที่ได้ไปก็มากพอแล้ว ล้างบาปด้วย “ยอมอดเพื่อชาติ” เป็นบั้นปลายชีวิตไม่ดีกว่าหรือ
หล่อหลอมใจ “รวมไทยสร้างชาติ” แปลงปริมาณเป็นคุณภาพในความเป็นพรรคพลังประชารัฐ
เสริมหนุนให้นายกฯทำงาน “ระบบรัฐสภา” ไปจนสังคมประเทศบรรลุเป้าหมาย

ถ้าได้ตามนี้ อนาคต ต้องการเป็นรัฐมนตรีเก้าอี้ไหน มีหรือประชาชนคนไทยจะถุย!?
เนี่ย….
การเมืองประชาธิปไตย มันประกอบด้วย ความน่าเกลียด-น่าชัง, ความน่ารัก-ความข่มขื่น ผสมกันอยู่อย่างนี้
คนถึงบอกว่า “เบื่อ…การเมือง”
ขณะเดียวกัน “ก็วิ่งเข้าหาการเมือง”!
ในความเป็นรัฐบาลระบบเลือกตั้ง ที่วัดการอยู่-การไปตรงมือสส.ในสภา
เข้าทำนอง ………
วัคซีน ป้องกันเชื้อโรค แต่ต้นทาง ต้องใช้โรคเป็นตัวเชื้อ ฉันใด
นายกฯ ประยุทธ์, พลเอกประวิตร ที่หวัง “รวมไทยสร้างชาติ”
ต้นทางก็ต้องใช้ “ร้อยพ่อ-พันแม่” เป็นตัวเชื้อ ฉันนั้น.




Written By
More from plew
“ต้มยำกุ้ง” ถึง “ตำโควิด” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “แอสตร้า เซนเนก้า” จะต้องส่งวัคซีนให้ไทยทั้งหมด ๖๑ ล้านโดส ภายในสิ้นปี ๒๕๖๔ “ตามกำหนด” เดือนมิย.ส่ง ๖...
Read More
0 replies on “เชื้อสร้างเชื้อ “พลังประชารัฐ””