“ก่อนประเทศถึง ๑๕ มิถุนา.”

พอไทย “เปิดเมือง” (๑๕ มิย.๖๓)
จีนก็ “ปิดเมือง” รอบใหม่ คราวนี้ “ปักกิ่ง” ศูนย์กลางระบาด!
รอบแรก “โควิด” มากับค้างคาว
รอบสอง มากับเขียงปลาแซลมอนในตลาด เห็นทีแผนจับคู่เที่ยว “ไทย-จีน”จะเหี่ยวต่ออีกซักระยะแต่เชื่อมือว่าจีน “เอาอยู่” เพราะตอนนี้ ประสบการณ์ก็มีแล้ว อุปกรณ์, บุคลากร, หยูกยา ก็พร้อม กระทั่งวัคซีน ก็ริมๆ สำเร็จ

มาคุยถึงบ้านเราดีกว่า…….
นายกฯ ประยุทธ์ กราบแทบอก พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยไปแล้วเมื่อวาน ซึ้งใจ “ยามมีศึกร่วมรบ-ยามสงบแยกเขย่า”
ส่งผลให้ไทย อันดับ ๒ ของโลก ………
ในจำนวน ๑๘๔ ประเทศ ไทยเป็นประเทศฟื้นตัวจากโควิด-๑๙ ดีที่สุด รองจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นอันดับ ๑
และจาก ๒๐ อันดับแรก มีประเทศ ในเอเชีย ๖ ประเทศ ได้แก่ไทย, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ฟื้นตัวดีที่สุด

ประเทศไทย คะแนน “อันดับที่ ๑” ของเอเชีย!
นี่..สะท้อนถึงอะไร?
อันดับแรก สะท้อนคุณภาพคนไทย รู้หน้าที่, รู้รัก, รู้สามัคคี ทำให้ทั้งโลกทึ่ง ที่เห็นคนไทยเชื่อฟังมาตรการรัฐ และครัดเคร่งระเบียบ-วินัย สวมหน้ากากอนามัย จนเป็นต้นแบบปลอดโควิด
การแจกจ่าย-แบ่งปันซึ่งกันและกัน
ไทย สอนให้โลกรู้ว่า…….”การให้” ยิ่งใหญ่เหนือยิ่งใหญ่ทั้งปวง

ต่อให้จรวด นิวเคลียร์ อำนาจ, ทุน ทั้งปวง ยังสู้ข้าวกล่อง “กล่องเดียว” ไม่ได้ ในสงครามชีวิต
อันดับที่สอง สะท้อนถึง แพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะวิทยาการทางการแพทย์ประเทศไทย
หนึ่งไม่เป็นสองรองใครในโลก!

อันดับสาม นอกจากภาคประชาชนทั่วไปแล้ว
สะท้อนแกร่งจิตใจแบกรับความย่อยยับของบุคคลในภาคธุรกิจ, เศรษฐกิจ, การค้า, การลงทุน,การบริการ และการผลิต
เขายอมเสียสละเพื่อชาติ เพื่อสังคมชาติรอด
คำเดียว เขาเหล่านั้น ไม่เคยบ่นให้เป็นที่ไม่สบายใจกันเลยซักคำ และ

อันดับสี่ สะท้อนรัฐบาล “นายกฯประยุทธ์” มีคำเดียวที่ให้
เยี่ยม!

นี่แหละ ตำแหน่งอันดับ ๒ ของโลกที่ไทยได้รับ มาจากองค์ประกอบเหล่านี้
ฉะนั้น ผมจึงอยากบอก อย่าไปเบื่อหรือตระหนก-ตกใจกับภาวะ “ยามสงบแยกเขย่า”
ตถตา โลกมันก็เช่นนี้แล ในความเป็นกลุ่มคนเห็นต่าง เป็นซ้าย-เป็นขวา เป็นขบวนการชังชาติ-พิทักษ์ชาติ แบ่งขั้ว-แบ่งค่าย ในเชิงปฏิปักษ์-หักล้างกัน
ประเทศไทย ………
จะเจริญวัฒนาสถาพร ต้องแบบนี้ จึงจะต้องตามโฉลก!

ที่ไหนๆ ในโลกก็แบบนี้ ถ้าคนทั้งประเทศ คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เฮไปทางเดียวกันหมด ก็จะ “หนักไปทางเดียว”
เป็นเรือ ก็จม, เป็นตาชั่ง ก็เอียง, เป็นคน ก็เดี้ยง ด้วยอัมพฤกษ์-อัมพาตครึ่งซีก

อย่างฟุตบอล ถ้าคน ๒๒ คน ลงเล่นเป็นทีมเดียวกัน ใครจะดู เซ็งยิ่งกว่าน้ำล้างก้น
ต้องแบ่งเป็นคนละทีม ลงเตะแย่งลูกไปถล่มใส่กัน มันถึงจะมัน
แม้ระบบเศรษฐกิจ ค้าขาย ก็ต้องแข่งผลิต แข่งทำตลาด แข่งขาย การแข่งขัน นำไปสู่การวิจัย-พัฒนา เป็นนวัตกรรมเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ

บ้านเมืองก็เหมือนกัน …….
ถ้าไม่เขย่ากันเอง ข้างนอกดูสดใส แต่ข้างในอาจต๊ะติงโหน่ง ด้วยด้วง, หนอนแอบชอนไช โดยไม่มีใครระแคะ-ระคายเลยก็ได้
แบบนั้น ผลัวะผละ “พังเลย”!
เมื่อมีพวกเราออกมาเขย่า มันก็จะมีพวกเราอีกนั่นแหละ ออกตาฉุดดึงตรึงไว้
แรงฉุด-แรงต้าน ทำให้เกิด “จุดสมดุล” ประเทศทางแข่งขันพัฒนาในแต่ละฝ่าย เพื่อให้ “ดี” กับประเทศ เป็นทางชนะก็ได้
“บ้านเมืองสงบ” ไปหูเดียวกันหมด ไม่มีคนคิดต่าง-เห็นต่างดูเหมือนดี แต่เอาเข้าจริง มันอันตรายมากกว่าดี

ปี ๔๔ ยุคทักษิณนายกฯ เป็นตัวอย่างชัด
ด้วยฟีเวอร์ ก็ไปหูเดียวกันทั้งบ้าน-ทั้งเมือง ขนาดซุกหุ้นเห็นๆ ยังยกเป็นอัศวินควายดำ แห่ห้อมกดดันศาล
แค่ทักษิณบอก “บกพร่องโดยสุจริต” ทุกหูในประเทศ ก็เฮ…เชื่อเป็นหูเดียว ให้เป็นนายกฯต่อ
ทักษิณบอก “ผมรวยแล้วไม่โกง” ก็เฮ…สามัคคีคำฉันท์ เชื่อตามกันทั้งประเทศ

แม้ปัญญาชนระดับ จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์-เกษตรฯ ที่มีฤทธิ์วันนี้ วันนั้น เชื่อกันจนเชื่อง
ทักษิณใช้นโยบายบริหาร “จังหวัดไหนเลือกผม จังหวัดนั้นได้เงิน-ได้งบ “จังหวัดไหนที่ไม่เลือก ได้แห้ว
และทักษิณบอก “โกงไม่เป็นไร ได้เอามาแบ่งกัน”
ก็เฮ…ชอบอก-ชอบใจเป็นหูเดัยวกันทั้งประเทศ ยกทักษิณเป็นเจ้ามูลเมือง ไปไหนๆ โบกธง ตะโกน…ทักษิณจงเจริญ!
แล้วผลของบ้านเมืองสงบเรียบร้อยไปหูเดียวกันหมดเป็นไง?

ก็เป็นว่า เมื่อ มกรา.๕๗
เว็บไซต์ “เดอะท็อปเท็นส์ ดอทคอม” ในต่างประเทศ เปิดให้คนทั่วโลกโหวต เพื่อจัดอันดับ “ผู้นำเลวสุด” ของโลก ผลปรากฏว่า
“ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไทย ครองตำแหน่งผู้นำ “เลวดับ ๑” ของโลก!
อันดับ ๒ ใครจำได้มั้ย?
“น.ส.ยิ่งลักษณ์” นายกฯ ร่างทรงทักษิณขณะนั้นนั่นเอง!
“ฮิตเลอร์” ที่ครองแชมป์อยู่เดิม ยังต้องพ่าย เสียตำแหน่งให้ทักษิณ ก็คิดดูละกัน ว่าการเมืองที่ไม่มีคนออกมาต้าน กับที่มีออกมาต้าน อย่างไหนมีคุณและโทษกว่ากัน?

ต้าน-ถือซะว่า ถ่วงดุล, ตรวจสอบ คอยจ้องทุกคำเคี้ยว งบประมาณ
เฮไปหูเดียว การเมืองสงบ ดูแล้วสบายใจ แต่นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้ฟาดเรียบ อย่างทักษิณเป็นตัวอย่าง
ขนาดวันที่ ๓๑ ธันวา.ยังให้ราชการทำงานตามปกติ เพียงแค่ให้เมียมาโอนที่ดินรัชดาได้ภาษีราคาถูก

ถ้าเป็นสมัยนี้น่ะเรอะ…..
นายกฯประยุทธ์ ไม่ถูกนักวิชาการ จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ และการเมืองฝ่าย “อ้างประชาธิปไตย” ถลกหนังไปขึงกลองตีแล้วรึนั่น?
การที่พลเอกประยุทธ์ ยืนอยูบนแท่น “ผู้ชนะสิบทิศ” ในสนามรบร้อยเขี้ยวงาหมาหมู่ วันนี้
และการที่พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้นำมีชื่อเสียงระดับโลกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเอาเงินไปจ้างลอบบี้ยิสต์ในต่างประเทศ ไปจ้างฝรั่งสัมภาษณ์และลงข่าว
หรือนายกฯประยุทธ์ ประจบ-ประแจง,ประจี๋-ประจ๋อ
เลี้ยงดูปูเสื่อ ถอดเสื้อ-กางมุ้ง ให้สื่อ ให้นักข่าวในประเทศ

เปล่าเลย………
ที่นายกฯประยุทธ์ “สยบใจ” ทุกฝ่าย ก็ด้วย ดวงใจและสัจจะซื่อ เพื่ออนาคตชาติ, อนาคตประชาชน และเพื่อธำรงคงอยู่ของสถาบันคู่ไทย

ฝ่ายตรงข้าม แม้ปากไม่ยอมรับในสำเร็จของนายกฯ แต่ใจ…..ในความเป็นมนุษย์ มิอาจไม่ยอมรับ!

จากปลายมกรา.๖๓……….
ข้าศึก “โควิด-๑๙” ประชิดติดเมือง ร่ำๆจะเสียเมืองถึงขั้นตายซับ-ตายซ้อน ช่วงมีนา-เมษา.
ไทย จากระบาดอันดับ ๒ ของโลก รองจากจีน จนถึง ๑๕ มิถนา.คือวันนี้
ไทย “พลิกโลก” ขึ้นเป็นประเทศศักยภาพทางการแพทย์-การสาธารณสุขเยี่ยม นำประเทศฟื้นจากโควิด เป็นอันดับ ๒ ของโลก


ขอให้พวกเราทุกคน จดจำและระลึกรู้ถึงพระคุณ “๕ อาจารย์แพทย์” เหล่านี้ ท่านไม่เพียงช่วยให้พวกเรารอดตาย ด้วยคุณูปการของท่าน ยังเสริมหนุนให้ไทย, วงการแพทย์ กระทั่งคนไทย พลอยมีหน้า-มีตาไปด้วยกันหมด

คงจำภาพประวัติศาสตร์กันได้ ……..
๑๖ มีนา.๖๓ บุคคลรอบโต๊ะรูปไข่ในทำเนียบ ที่นายกฯเชิญมาให้คำแนะนำ เมื่อภาพเผยแพร่ออกไป เห็นแล้วกล่าวขานกันทั้งประเทศว่า “ไทยรอดแน่” ประกอบด้วย

ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร อดีตอธิการบดี ม.มหิดล อดีตรมว.กระทรวงสาธารณสุข
ศ.นพ.อุดม คชินทร อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อดีต รมช.กระทรวงศึกษาธิการ
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์
ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี อาจารย์แพทย์อายุรศาสตร์ นายกแพทยสมาคม
ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา

“คุณหมออุดม คชินทร” เคยเล่ากับแทบลอยด์ “ไทยโพสต์” ไว้ต่อนหนึ่งว่า……

“ตอนนั้นประชาชนไม่เชื่อกระทรวงสาธารณสุข ไม่เชื่อท่านนายกฯ ความศรัทธาลงอย่างมหาศาล
ท่านนายกฯ หาทางออกไม่ได้ ก็เชิญเราไปคุย แต่ท่านก็นึกไม่ถึง ผมก็นึกไม่ถึงว่า มิตินี้ มันจะมี impact มหาศาลเลย

อย่างภาพที่คุยกันวันนั้น ………
ผมก็ได้รับส่งมาทางไลน์ คนต่างบอกมีความหวังแล้ว ผมเห็นแล้ว ผมก็ชื่นใจ ในฐานะเป็นหนึ่งในนั้น

“นายกรัฐมนตรีก็ส่งไลน์มาหาผม นายกฯ บอกว่า….

“พี่หมอ มาทำให้คนเริ่มฟังผมมากขึ้น คือเดิมคนไม่ค่อยฟังผมเลย ท่านนายกฯ บอกประโยคนี้”

 


Written By
More from plew
ธนาธร “เข้าที่ไหน-พังที่นั่น”
(กู) ว่าแล้ว…… องุ่น สามพราน นครปฐม ๑ หญิง ๒ ชาย มันต้องร้องว่า เปรี้่ยว! แล้วก็จริงซะด้วย!...
Read More
0 replies on ““ก่อนประเทศถึง ๑๕ มิถุนา.””