วันนี้….
เพ็ญกลางเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวัน “วิสาขบูชา” คือวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน ตรงวันเดียวกัน
ปีนี้ ไม่ได้ไปวัดกัน
ก็ไม่เป็นไร ยกวัดมาไว้ที่ใจได้บุญเต็มเปี่ยม เพราะบุญไม่ได้อยู่ที่วัด
บุญอยู่ที่ใจสะอาด ใจตั้งมั่น-ตั้งตรง ในพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์“การไม่ทำบาปทั้งปวง, การทำกุศลให้ถึงพร้อม, การทำจิตใจของตนให้ผ่องใส นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
ตรงนี้ ที่เรียก “หัวใจพระพุทธศาสนา” จำไว้เลย ใครถาม “พระพุทธศาสนาสอนอะไร?”
ตอบตามนี้ ครอบคลุม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ครบ!
วันนี้ พักเรื่องอื่น คุยเรื่องผมมั่ง
คือหลายวันก่อน มีคนส่งของมาให้ ไม่ทราบว่าใคร บอกเป็นแฟนคลับลุงเปลว
ลองอ่านจดหมายดูนะ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่วันๆหลังขด-หลังแข็งจมอยู่กับเก้าอี้เหมือนผม
สวัสดีค่ะ ชื่อยศรา (ใส) นะคะ
พอดีคุณพ่อและคุณแม่ เป็นแฟนคลับคอลัมน์เปลวสีเงินมานานมาก
ช่วงนี้ มีโอกาสพักผ่อนอยู่ด้วยกันที่บ้านยาวๆ คุณพ่อเลยขอให้ใสช่วยส่งของขวัญให้ลุงเปลวค่ะ
เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ เป็นนวัตกรรมช่วยปรับให้การใช้ชีวิตในอิริยาบถนั่งได้ดูแลสุขภาพหลังให้แข็งแรงขึ้นไปในตัวค่ะ
ใช้วางบนเก้าอี้หรือพื้นผิวราบได้ทุกที่ พกพาสะดวก แต่หากช่วงแรกของการใช้งาน ทรงตัวไม่ค่อยได้ แสดงว่ากล้ามเนื้อรอบๆลำตัวไม่ค่อยแข็งแรง
ไม่ต้องตกใจนะคะ ให้ใช้ไปเรื่อยๆ จะทำให้สุขภาพหลังดีขึ้นค่ะ
เมื่อ ๓ ปีก่อน คุณพ่อคิดค้นผลิตภัณฑ์นี้ เพื่อถวายครูบาอาจารย์สายวัดป่าหลวงปู่ชา ที่คุณพ่อเคารพนับถือน่ะค่ะ
ให้ท่านได้ใช้วางเสริมบนอาสนะ เพื่อให้นั่งหลังตรง ลดแรงกดทับสะสมที่ก้นกบและหลังค่ะ
เป็นการผสานของการนั่งทรงตัวบนลูกบอลฟิตเนส และการขยับแบบอิริยาบถขี่ม้าหรือออกกำลังกายแบบฮูลาฮูปได้ค่ะ
เลยอยากฝากให้ลุงเปลวใช้นั่งทำงาน นั่งสมาธิค่ะ
หากมีข้อสงสัย ดูรายละเอียดได้ที่ www.airlumba.com,FB:Airlumba และ official Line : Airlumba
มีผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดแนะนำวิธีดูแลสุขภาพหลังด้วยค่ะ
จริงๆแล้ว Airlumba มีมามากกว่า ๒๐ ปีแล้ว แต่คุณพ่อลงทุนในส่วน R&D มาตลอด เพราะเป็นวิศวกรและเชื่อเสมอว่า ผลิตภัณฑ์ที่ดีและตอบโจทย์ ช่วยคนได้ คือการตลาดที่ดีที่สุด
จนใสได้มีโอกาสเข้ามารับช่วงต่อ ก็เลยอยากสานฝันในการช่วยคนให้มากขั้นค่ะ เลยขออนุญาตส่ง Airlumba Enlight มาให้คุณลุง ๓ ชุด
ด้วยรักและเคารพ
ยศรา (ใส)
ขอบใจหลานใส ก้นเดียวได้ถึง ๓ ชุด ประชาสัมพันธ์ซะเลย เผื่อคนก้นติดเก้าอี้อย่างลุงสนใจ จะได้ลองใช้บริการ Airlumba ดูบ้าง
กลับมาเรื่องโควิด………..
ไทยหมอซูเปอร์เก่ง เมื่อวาน (๕ พค.) ป่วยคนเดียว ตอนนี้ ต้องลุ้นสหรัฐฯ ว่ายอดตายจะทะลุ “หลักแสน” มั้ย?
“ซุยลิ้ม” เพื่อนผม ไลน์เรื่องในสหรัฐฯมาให้อ่าน แง่มุมน่าสนใจ ใครอ่านแล้วไม่ต้องอ่าน ไปนอนเลย
“วิธีคิดแบบคนอเมริกา จากมุมมองของคนไทยที่ไปอยู่ที่อเมริกา”
เห็นคนไทยที่เมืองไทย แชร์ข่าวและตื่นเต้นมากมายกับจำนวนผู้ติดเชื้อและคนตายจาก Covid-19 ในสหรัฐอเมริกา บางคนถึงขนาดแชร์ข่าวเชิงสะใจและดูถูก ว่าประเทศผู้นำของโลก บริหารจัดการล้มเหลวเรื่อง Covid หรือบางกระแสก็โพสต์ว่า อเมริกาถึงจะต้องเวลาล่มสลาย
ในฐานะคนไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกาไม่นานนัก (คืออาศัยอยู่ในอเมริกาจริงๆได้สัมผัสกับคนอเมริกัน ได้เรียนรู้วัฒนธรรมหลายหลายจากที่เป็นจริง)
และด้วยความที่เป็นคนสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์การสร้างชาติอเมริกามาพอสมควร เลยขออนุญาตเสนอความคิดเห็นและ fact เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้คนไทยทุกคนได้เห็นในวิธีคิดและมุมมองที่แตกต่างของคนอเมริกัน
อาจจะยาวหน่อยแต่ทุกคนจะเข้าใจวิธีคิดของคนอเมริกันมากขึ้นครับ
ย้อนหลังไปเมื่อ 300 กว่าปีมาก่อน คนอเมริกันเกิดจากกลุ่มคนขาวชาวยุโรปหลายๆ ชนชาติ โดยคนอังกฤษเป็นกลุ่มใหญ่สุด ที่อพยพล่องเรือมาจากประเทศแม่ในยุโรป เพื่อมาหาชีวิตใหม่
กลุ่มคนที่ตัดสินใจลงเรือ หลายกลุ่ม เกิดจากความไม่พอใจรัฐบาลของประเทศตนเองในขณะนั้น ที่จำกัดสิทธิเรื่องลัทธิศาสนาและวิธีการดำเนินชีวิต
บางคนลงเรือมาตัวคนเดียว บางคนมีพี่มีน้องมา บางคนตัดสินใจหอบลูกจูงหลานมาทั้งครอบครัว เพื่อหวังชีวิตใหม่ในแผ่นดินใหม่
เมื่อมาถึงที่นี่ ทุกคนต้องมาเรียนรู้สภาพอากาศใหม่ ภูมิประเทศใหม่ สัตว์ดุร้ายใหม่ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน รวมถึงพืชผักและสัตว์ที่ต้องใช้กินยังชีพ
และด้วยแผ่นดินที่กว้างใหญ่มหาศาล คนที่มาถึงใหม่ๆ ต้องเดินทางค้นหาโอกาสไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่ทางทำปศุสัตว์ และเกษตรกรรม ค้าขาย ทำให้ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องอาหารเท่าไหร่นัก
นี่..เป็นที่มาว่า ทำไมอาหารอเมริกัน แต่ละจานถึงมีขนาดใหญ่มาก รสชาติและหน้าตาไม่ค่อยถูกปาก ก็เนื่องจากว่า ในสมัยสร้างประเทศอเมริกานั้น
คนต้องเดินทางกันไกลๆ เพื่อไปติดต่อซื้อขายสินค้า เมื่อแวะพักทานอาหารที่หนึ่ง ร้านอาหารจะทำอาหารให้ในปริมาณมาก เพื่อให้ลูกค้ามีอาหารเหลือจากรับประทาน แล้วสามารถพกห่อเพื่อนำไปกินระหว่างทางได้ เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้า จะได้เจอร้านขายอาหารอีกหรือไม่
อาหารส่วนใหญ่จะมีรสหวาน เพราะสามารถให้พลังงานที่ต้องใช้ในการเดินทางเป็นเวลานานๆได้ ส่วนรสชาติและความประดิดประดอยของอาหารนั้น แทบไม่ต้องคำนึงถึง เพราะไม่ใช่สิ่งจำเป็นในยุคนั้น
การที่ต้องมาต่อสู้ในแผ่นดินใหม่ ทำให้คนอเมริกันในยุคสร้างชาติ ต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก จากหลายๆ สาเหตุ
และเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผู้คนในยุดนั้นล้มตายจำนวนมากเหตุการณ์หนึ่งคือ การอพยพย้ายถิ่นข้ามฝั่งจากฝั่ง New England หรือฝั่งตะวันออก (นิวยอร์ค)ไปหาโอกาสใหม่ที่ฝั่งตะวันตก (แคลิฟอร์เนีย)
ในช่วงระหว่างการข้ามเทือกเขา Rocky ผู้อพยพต้องพบเจอสัตว์ดุร้ายเป็นฝูงที่พร้อมจะซุ่มเข้าทำร้ายได้ตลอดเวลา โรคร้ายในป่า รวมถึงสภาพอากาศที่แตกต่างกันมากช่วงระหว่างกลางวันที่ร้อนและกลางคืนที่อุณหภูมิติดลบ
ตามประวัติศาสตร์ในยุคนั้นบอกว่า ตื่นมาตอนเช้าจะพบว่า เพื่อนผู้ร่วมอพยพนอนตายเป็นเบือเพราะขาดอุปกรณ์ป้องกันตัวเอง
คำว่า moving forward หรือ ก้าวต่อไปข้างหน้า ของคนอเมริกัน ได้เริ่มเกิดขึ้นในยุคนั้น คือใครไหวก็ไปต่อ ใครไม่ไหวก็หยุด ทิ้งความอ่อนแอเอาไว้ข้างหลัง คนที่ไหวก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อสู้ต่อ
คนขาวอเมริกันใช้วิธีคิดแบบ moving forward นี้ ในการสร้างชาติมาโดยตลอด
และนวัตกรรมใหม่ๆ ของโลก ที่เกิดที่อเมริกา ก็เกิดได้จาก แนวคิดแบบ moving forward นี้ เป็นตัวผลักดันอย่างหนึ่ง
วัตกรรมใหม่ๆ ไล่ตั้งแต่ การคิดค้นรั้วลวดหนามเพื่อเลี้ยงสัตว์ มาถึงรถยนต์ ในยุคนั้น จนกระทั่งถึง microsoft facebook หรือ google ในยุคนี้
การไม่ยอมแพ้ของคนอเมริกัน เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นวัติกรรมเกิดทั้งสิ้น และคนอเมริกันก็ส่งต่อแนวคิดแบบ moving forward นี้ มารุ่นต่อรุ่น
ทุกคนต้องแข็งแกร่ง และอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากใคร นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเมื่อเด็กอเมริกันอายุครบ 18 ปี พ่อแม่จึงเร่งให้ออกจากบ้าน
ไปหางานทำ ไปเช่าบ้านอยู่เอง กู้เงินเรียนเอง เรียนรู้สู้ชีวิตด้วยตัวเอง เพราะรุ่นต่อรุ่น ปลูกฝังต่อๆ กันมาว่า
ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอและอิสรภาพในการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ
อีกเหตุการ์หนึ่ง ที่ยืนยันได้ดีถึงคำว่า America moving forward ยังเป็นสิ่งที่คนอเมริกันสืบทอดกันมาก็คือ
หลังเหตุการณ์ 9-11 ไม่นาน หลังจากเก็บกวาดซากตึก world trade center ของเก่าได้ตึก world trade center หลังใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นมาตั้งตระหง่านเย้ยฟ้าแทนที่ของเดิมทันที
มาถึงยุค Covid-19 คนขาวอเมริกันส่วนหนึ่งมองว่า
ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนเพื่อมาช่วย(ตอนนี้การพัฒนาวัคซีนในอมริกามีความคืบหน้าไปมาก) ไวรัส Covid-19 ก็จะยังไม่หายไปจากโลกใบนี้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ทางเดียวคือ ต้องหันหน้ามาสู้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ที่สุดในเวลานี้
ใครไหวก็ออกไปทำมาหากิน ใช้ชีวิตปกติแต่ป้องกันตนเอง ใครไม่ไหว หรือติดเชื้อ หรือกลัว ก็กักตัวอยู่บ้าน
เพราะที่นี่คืออเมริกา ทุกคนต้องมีสิทธิ์ในการตัดสินใจและรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
มาถึงกลุ่มคนดำ เป็นผู้ติดเชื้ออีกกลุ่มใหญ่ของอเมริกา ซึ่งประวัติศาสตร์ไม่สามารถบอกอะไรได้มากนัก แต่ตัวผู้เขียนใช้ชีวิตใกล้ๆ Detroit ซึ่งเป็นเมืองที่กลุ่มคนดำอาศัยอยู่หนาแน่น 3-4 เดือนที่ได้ใช้ชีวิตเรียนหนังสือในดีทรอยด์
พอหลัง 5 โมงเย็น จะเห็นแต่ละห้องเรียน มีกลุ่มคนดำมารวมกลุ่ม เพื่อเรียน เพื่อทำงาน หรืออบรมเยอะมาก เนื่องจากมีองค์การให้ความช่วยเหลือชุมชนคนดำเยอะ
และดนดำส่วนใหญ่ ชอบอยู่แบบรวมกลุ่มเป็นสังคม ซึ่งอาจจะเป็นสาหตุหนึ่งที่ทำให้การแพร่กระจายเชื้อเกิดขึ้นได้รวดเร็วส่วนหนึ่ง
แล้วคนเอเชียในอเมริกาล่ะ ยอดติดเชื้อเป็นอย่างไร?
ดูภาพที่แนบมาจะเห็น ภาพนี้ เป็นของรัฐมิชิแกนรัฐเดียว คนเอเชีย โอเชเนีย รวมแปซิฟิก ไอสแลนด์เดอร์ (หมายถึงประเทศหมู่เกาะน้อยใหญ่) ติดเชื้อรวมกันไม่ถึง 2%
ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า คนเอเชียเรามีความกลัวและระมัดระวังตัวสูงกว่าฝรั่งมาก (ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งเราถูกสอนกันมาแบบนี้)
เราค่อนข้างระมัดระวังตัวเอง ดูทางหนีทีไล่ แล้วเราจะค่อยๆ โอนตัวตามกระแส (ซึ่งนวัตกรรมที่เกิดจากคนเอเชีย ก็เป็นไปประมาณนี้ด้วย)
สาระสำคัญที่จะสื่อสารคือ มันคือวิธีคิดของคนอเมริกันครับ ซึ่งทุกคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ ไม่ได้ตื่นเต้นกับยอดผู้ติดเชื้อหรือตายมากมาย รวมถึงตัวผมด้วย
ทั้งที่มิชิแกนยอดติดเชื้อเกิน 30,000 ไปแล้ว เรามีหน้าที่ต้องดูแลตัวเราเอง ถ้าวันหนึ่งเราติด เราก็จะสู้กับมันยิบตา
สรุป คนไทย (ที่เมืองไทย) ตื่นเต้นตกใจมากมายกับยอดผู้ติดเชื้อและตายในอเมริกา
แล้วถามว่า คนอเมริกาตกใจกับเรื่องอะไรของคนไทย คำตอบคือ
ถ้าคนอเมริกันทราบตัวเลขว่าคนไทยบาดเจ็บและตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ปีละกี่คน และต่อเนื่องมาแล้วกี่ปี?
คนอเมริกันต้องอุทาน…. WTF… กันทุกคนครับ
…………….
ขออนุญาตตัดเอาพอเนื้อที่ละกัน WTF ก็ What the fuck นั่นแหละ อยากรู้แปลว่าไร
ไปถาม “แก๊งสามมะกอก” เขาดูนะ.