ว่าจะทอดสันหลังยาวแล้วไปคุยกันวันจันทร์ตามปกติ
แต่แหม…..
เห็นเสียงถากถาง “จดหมายเปิดผนึก” ของนายกฯ ที่จะทำไปถึง ๒๐ มหาเศรษฐีไทยดังขรม
ว่า “รัฐบาลขอทาน”!
หมดตูด-บ้อท่า ก็ร่อนกะลาขอเงินเศรษฐี กุ๊ยๆ…หน้าไม่อาย อะไรประมาณนั้นก็เลยต้องยักแย่-ยักยันลุกขึ้นมาคุยกันซะหน่อย
ยิ่งมีบางคนลากโยงไปถึงว่า….
ฮั่นนั่นแน่ แบบนี้ นายกฯปูทางวางพรมให้ทักษิณ “คนเลวโลก” อันดับ ๑ กลับประเทศอย่างเท่ๆ แหงแก๋ -แบเบอร์
เพราะทักษิณร่ำรวยติดอันดับ ๑ ใน ๒๐ มหาเศรษฐีไทย แล้วจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร ในเกม “ไถเศรษฐี”
สรุปความแล้ว คนส่วนใหญ่ ไม่สนใจเนื้อหาสาระที่นายกฯ บอกถึงเหตุทำจดหมายเชิญ
ฟังปุ๊บ สรุปปั๊บ ไป ๒ ที่
ที่แรก… “ที่เงิน”
นายกฯทำจดหมายเชิญมหาเศรษฐีมา เพื่อไถเงิน
ที่ ๒… “ที่ทักษิณ”
ดูๆ ฟังๆ แล้ว ต้องบอกว่า ว้าเหว่กับคิดของคนในเส้นทางอนาคตประเทศ ถ้ายังมองอะไรๆไกลที่สุดได้แค่หัวแม่เท้าตัวเองเช่นนี้
ภาวะ New Normal หลัง “โควิดล้างโลก” มองไม่เห็นเลยว่า ไทย จะลอกคราบสู่แสงทองทาทาบประเทศได้อย่างไร ในยุคแห่งคำว่า ดิสรัปท์, นวัตกรรม, ศตวรรษใหม่?
“ทักษิณกับเงิน-เงินกับทักษิณ” ดูจะเป็นตัวเดียวกันในความคิดของคน “สังคมตกคลั่ก” ในตระกูลโค
และตรงนี้แหละ เมื่อโฟกัสแต่ละกลุ่มเข้าไปในภาพใหญ่ของสังคมชาติ จะเห็น “สังคมตกคลั่ก” คล้ายบาดทะยักเรื้อรัง
คนกลุ่มนี้ จะสรุป “ดี-เลว” ของคนที่ “เงิน”?
ยิ่งคนไหนรวยแล้วเอามาแบ่งกัน ใจถึง-พึ่งได้ สังคมตกคลั่ก จะสรุปทันทีว่า
นี้…คนดี?!
เพราะอย่างนี้ นายกฯ บอกโต้งๆ เชิญ ๒๐ มหาเศรษฐี และบอกชัด ว่าเชิญมาด้วยเจตนาอะไร
แต่สังคมตกคลั่กตีเจตนานายกฯ พุ่งตรงไปที่ทักษิณคนเดียว สรุปเสร็จสรรพ หวังขอเงินทักษิณ!?
ถ้ามองกันในมุมนี้…..
แล้วอีก ๑๙ มหาเศรษฐี ปัดเศษทิ้งไปได้อย่างไร เพราะในความจริง ๑๙ มหาเศรษฐีเหล่านั้น มี “เงินบริสุทธิ์” มากกว่าทักษิณเป็นสิบ-เป็นร้อยเท่าด้วยซ้ำ
ถ้าจะเชิญมาเพื่อขอ จำเป็นนักหรือต้องไปขอทักษิณ ที่สังคมโลกตราหน้า เป็น “คนเลว-คนโกง” อันดับ ๑ โลก?
จึงเป็นความจริงน่าเศร้าอย่างหนึ่ง ว่าทำไมคนรวย คนมีเงิน เมื่อเข้ามาเล่นการเมือง มักจะได้รับการซูฮก-ยกย่องจากสังคม?
โดยเฉพาะจากสังคมตกคลั่ก ที่อยู่ในคราบคลุมต่างๆ กัน มีทั้งชาวบ้าน ทั้งนักการเมือง ทั้งนักวิชาการ ทั้งมหา’ลัย ทั้งเอ็นจีโอ ทั้งสื่อ ไม่เว้นกระทั่งวงการศาสนา
รากเหง้าของความชั่ว มี ๓ อย่าง โลภ โกรธ และหลง
คนที่รวยระดับมหาเศรษฐีนั้น…..
จะมีสิ่งวิเศษเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่อย่าง คือ “ดวงตาที่ ๓” เป็นความฉลาดแหลมคมในการมองแทงทะลุคน!
เพราะมองทะลุคน เขาจึงรวย เพราะสามารถควบคุมคนจากบนสุดถึงล่างสุดเป็นพัน-เป็นหมื่นทำงานให้เขาตามทิศทางได้
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะคนจะเป็นมหาเศรษฐีได้ เขาจะจับจุดได้ ว่ามนุษย์ทุกคนมี “ความโลภ”
ฉะนั้น ถ้าใครสามารถแปลงค่าความโลภให้เป็นพลังสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแล้วบริหารความโลภนั้นให้อยู่ในเกมของตนได้
“มหาเศรษฐีแน่ๆ”!
จุดนี้ คนมีเงินมากๆ ที่ฉลาดอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาเล่นการเมือง เสริมเล่ห์เข้าไปอีกเล็กน้อย ก็จะได้รับความนิยมชมชื่นเร็ว
เพราะการ “จับจุด” ว่าคนในตลาดการเมือง ไม่ต่างคนในวงจรทั่วไป ซึ่งมี “ความโลภ” เป็นมูลฐานนั่นแหละ
เขาจึงเล่นกับ “ความโลภ” คน!
คนโลภ ก็หวังได้ เมื่อหวังจะได้ ก็เหมือนปลาว่ายไล่ตามสายเบ็ด
ดูลีลาทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และล่าสุด ลีลาธนาธร จะเห็นเกมการเล่นกับ “ความโลภ” ในตลาดการเมืองเลือกตั้งชัดเจน
ด้วยโลภฝังรากในมนุษย์สังตมตกคลั่ก พวกนี้ จึงรับรู้ความเป็นคนอย่างทักษิณ “ตรงเงิน” อย่างเดียว
ถามว่ารู้มั้ย ทักษิณ ดี-ชั่วตรงไหน…รู้, ถามว่ารู้มั้ย เงินส่วนหนึ่งทักษิณได้มาแบบไหน…รู้
แต่ไม่สน ทักษิณโกงแล้วแบ่งปัน เมื่อแบ่งปัน ทักษิณจึงเป็นคนดี
เนี่ย มนุษย์สังคมตกคลั่กในตระกูลโค โปรแกรมสมองบรรจุข้อมูลตายตัวแค่นี้ คิดอย่างอื่นไม่เป็น-ไม่ได้
เหมือนสัตว์ประเภทมดปลวก ตามแต่รอยเศษอาหารตกพื้น แค่กลิ่นก็สุมหัวเวียนเฝ้าตรงนั้นเป็นฝูง
คนอื่นๆ เมื่อเขาฟังนายกฯ บอกจะเชิญ ๒๐ มหาเศรษฐี สมองประมวลผล จะออกมาทันที
ว่า ดีแล้ว-ถูกต้องแล้ว จากปัญหาโควิดนี้ มันจะเปลี่ยนโครงสร้างสังคมโลก แล้วไทยเราจะไปทางไหน ด้วยแบบไหนกัน?
นี่ มันไม่ใช่เรื่องรัฐบาล หรือ นาย ก. นาย ข. คนเดียว-กลุ่มเดียว ที่จะคิด จะตัดสินใจ ในโครงสร้างเปลี่ยนสังคมชาติ ที่มันมากกว่าคำว่า “ปฏิวัติ-ปฏิรูป” โดยไม่ปรึกษาหารือ ไม่ฟังความคิดเห็น คำชี้แนะ จากมันสมองของแต่ละคณะบุคคลในแต่ละแขนง-สาขาอาชีพ
ไอ้เรื่องเงินน่ะ มันขี้ปะติ๋ว…..
จะต้องไปขออะไรกะแค่มหาเศรษฐี ในเมื่อ ในความเป็นรัฐบาล จะพิมพ์ จะกู้ด้วยรูปแบบต่างๆ เอาอีกซัก ๓-๕ ล้านล้านบาท ก็ไม่เห็นมีปัญหาตรงไหน
เงิน มันมีค่าเฉพาะหน้าเท่านั้น ถ้าเอาแต่ตั้งรับโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง และไม่คิดพลิกแพลงสู้สถานการณ์
เงินมันก็จะเป็นกระดาษ ……..
ทั้งโลกแหละ ไม่เฉพาะไทย ผักหญ้า ข้าวปลาอาหาร ในการหมุนเวียน นั่นคือ ของจริงที่โลกต้องการ!
นายกฯ บอก จะเชิญ ๒๐ มหาเศรษฐีไทย แล้วทักษิณมันใช่คนไทยมั้ยล่ะ?
ก็รู้กันทั้งนั้น ว่าขณะนี้เป็นไทยแค่ชาติเกิด ทั้งทักษิณ ทั้งยิ่งลักษณ์ เขาไม่ใช่คนไทยแล้ว
ทักษิณเปลี่ยนไปถือสัญชาติเป็นชาวมอนเตเนโกรไปตั้งนานแล้ว ขาดการเสียภาษีรายได้ประจำปีในฐานะคนไทยมากี่ปีแล้วล่ะ?
เขาเป็นมหาเศรษฐีมอนเตฯ จ่ายภาษีบำรุงประเทศมอนเตฯ ไม่ใช่มหาเศรษฐีไทย
แล้วจะมาเพ้อเจ้อ เปิดฟอร์บส์-แฟ้บ ทึกทักเป็นมหาเศรษฐีไทยอะไรกันอีก…หือ?
ยิ่งลักษณ์นั่นเหมือนกัน แค่อาศัยชาติไทยเกิด เขาจ่าย ๑ แสนยูโร ได้สัญชาติใหม่เป็นนางสาวเซอร์เบียไปตั้งแต่ปีที่แล้ว
ทั้งพี่-ทั้งน้อง เปลี่ยนสัญชาติใหม่แล้ว ที่จะคงเดิม ก็คงแค่ “สันดาน”เท่านั้น!
นี่เป็นความเข้าใจผม คิดว่า แต่ละหน้าซองจดหมายเชิญ ไม่มีชื่อทักษิณแน่ ถ้ามี แสดงว่า โควิด-๑๙ กินสมองนายกฯ ไปแล้ว
ผมเชื่อนะ ทุกมหาเศรษฐีเมื่อได้รับเชิญ ไม่มีใครรังเกียจ แต่จะมาหรือไม่มา เป็นอีกเรื่อง คนระดับนี้ เขาแยกแยะได้ แม้ต่างขั้ว-ต่างคิด
นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของนายกฯ หรือของใครฝ่ายเดียว-พวกเดียว
สถานการณ์นี้ มันหนักหนาสาหัสถึงอนาคตชาติเป็นเดิมพัน
ถ้าพังลงไป ไม่ได้พินาศฝ่ายเดียว จะพินาศไปด้วยกันทั้งหมดในความเป็นประเทศชาติ
ดังนั้น ถูกต้อง-เหมาะสม สมควรแก่วาระที่จะเชิญ ๒๐ มหาเศรษฐีมาให้เขาแสดงความคิดเห็น เสนอแนะ ปรึกษาหารือ ที่จะ “รับ-รุก-รบ” ไปข้างหน้า
ที่เชิญ ไม่ใช่เพราะเห็นเขาเป็นมหาเศรษฐี หากแต่เห็นวิสัยทัศน์ เห็นประสบการณ์ เห็นคุณค่าในแต่ละคนกว่าจะขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีได้ ต้องเรียกว่า “เหนือธรรมดา-เหนือมนุษย์”
ดังนั้น แต่ละสมอง แต่ละคำแนะนำ แต่ละการร่วมมือ มีค่า มีความหมายกับการอยู่-การรอด-การรุ่ง ของอนาคตประเทศมาก
มาตรการเข้ม ปิดบ้าน-ปิดเมือง จำเป็น-เหมาะสม ประชาชนอดทนได้ระยะหนึ่งเท่านั้น
นานไปจะเกิดคำถามขึ้นว่า ………
เป็นโควิดตาย กับอดตาย มันต่างกันตรงไหน?
เมื่อมันไม่ต่าง แล้วจะต้องอยู่แบบฝืนธรรมชาติไปถึงไหนและเพื่ออะไรกัน?
ออกจากบ้านไม่ได้ ไปทำมาหากินไม่ได้ ค้าขายไม่ได้ ทุกอย่างหยุดนิ่งหมด ประเทศก็จะเหมือนน้ำนิ่ง
“น้ำนิ่ง” คือ “น้ำเน่า”!
นายกฯ คงคำนึงถึงตรงนี้ ระยะแรก ใช้แผน ๓ เหลี่ยมหน้าจั่ว คือ ๒ มุมเท่า รับมือโควิด
มุมการเมือง โดยทีมคณาจารย์แพทย์ในรูป “ศูนย์ปราบโควิด”
มุมการสาธารณสุข โดยทีมแพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่ยอมรับ
การใช้หลัก “ได้อย่าง-เสียอย่าง” ก็ได้ระยะหนึ่ง แต่นานไป มันจะเสียทุกอย่าง ทั้งการเมือง การบ้าน การสาธารณสุข การเศรษฐกิจ การสังคม
รอดจากโรค ในภาวะยังไม่แน่ว่าจะรอดขนาดไหน อีกทั้งยังมองไม่เห็นอนาคตวัคซีนว่าจะมีปีไหน เมื่อไหร่
ขืนปิดบ้าน-ปิดเมืองเรื่อยไป โรคที่ว่ารอด ก็จะกลับร่อแร่ เศรษฐกิจที่ปิดนาน ก็จะ “พังแน่”
สรุปแล้ว ทั้งคนที่รอแร่ ทั้งเศรษฐกิจที่ปิดนิ่ง พังหมดไปด้วยกัน!
เข้าใจว่า ถึงจุด-ถึงเวลานายกฯจะปรับจาก ๓ เหลี่ยมหน้าจั่ว ไปเป็น ๓ เหลี่ยมด้านเท่า คือให้มี ๓ มุม เท่ากัน
มุมการเมือง-มุมสาธารณสุข และมุมเศรษฐกิจ!
๒๐ มหาเศรษฐีจะมาช่วยเป็น “มุมเศรษฐกิจ” นายกฯ อาจหวังเช่นนั้น
ซึ่งก็ถูกต้อง ด้วยศักยภาพในตัวแต่ละมหาเศรษฐี ดึงแต่ละด้านจากแต่ละคนออกมา
ไม่ยากที่จะพลิกวิกฤติโควิดให้เป็นโอกาสทางธุรกิจการค้า โดยเฉพาะส่งออกด้านพืชผลการเกษตร การประมง ของไทยประเทศ
มีช่องทาง “รวย” ของประเทศอีกมาก แต่ต้องพึ่งมุมมองและความร่วมมือ-ร่วมใจของภาคธุรกิจการค้า ซึ่งร้อยละ ๘๐-๙๐ อยู่ในมือ ๒๐ มหาเศรษฐีเหล่านี้ทั้งสิ้น
สิ้นเมษา.ทุกคนคาดหมาย จะเป็นตามสัญญา แม้คงเคอร์ฟิว แต่ถ้าคลายให้ทำมาหากินกันได้บ้าง เปิดบ้าน-เปิดเมืองแบบมีเงื่อนไข เปิดห้าง เปิดร้าน ได้นั่ง ได้กินกันบ้าง น่าจะสร้างสมดุลได้ดีกว่าหนักไปหูเดียว
ผู้ชายน่ะ ไม่ได้ตัดผมจนเป็นทาร์ซานก็ทนได้
ห่วงคุณผู้หญิงเท่านั้นแหละ…….
ร้านศัลยกรรมเสริมงามปิดนาน ที่ต้องฉีดนั่น-เติมนี่ตามกำหนด ทนยากนะท่านนายกฯ รู้ไว้ด้วย!