13 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรมทีเค พลาเลส กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนหญิง เครือข่ายสตรี 4 ภาค และเครือข่ายพัฒนากลไกสหวิชาชีพพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด จัดกิจกรรมเสวนาหัวข้อ “How to..นักการเมืองหญิง ร่วมผลักดัน ท้องถิ่น ชุมชนจัดการความรุนแรงในครอบครัว 24 ชม.” พร้อมยื่นข้อเสนอการแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้แทนพรรคการเมือง 4 พรรค เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยและรับมือกับปัญหาความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศเนื่องในเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
นางภรณี ภู่ประเสริฐ รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวนำเสนอบทบาท สสส.กับการขับเคลื่อนนโยบายและพัฒนากลไกป้องกันการแก้ปัญหาความรุนแรงบนฐานเพศว่า สถานการณ์ความรุนแรงในสังคมไทยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงที่เข้ารับบริการผ่านศูนย์พึ่งได้กว่า 17,900 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ขณะที่สายด่วน พม.1300 พบผู้ถูกกระทำในครอบครัวกว่า 4,800 คน โดยความรุนแรงส่วนใหญ่เกิดจากการทำร้ายร่างกาย และมีสาเหตุมาจากยาเสพติด ความโกรธ หึงหวง และปัญหาสุขภาพจิต ทั้งนี้ สสส. มุ่งผลักดันให้ปัญหาความรุนแรงเป็นประเด็นสาธารณะ ผ่านยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม เครือข่าย และนโยบาย เพื่อสร้างความตระหนักในสังคมและร่วมกันป้องกันความรุนแรงบนฐานเพศอย่างยั่งยืน
ด้าน นส.ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยว่า จากการทำงานร่วมกับเครือข่ายในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด พบครอบครัวที่ถูกกระทำความรุนแรงเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูแล้ว 33 ครอบครัว รวม 276 คน โดยมูลนิธิฯ เตรียมนำข้อมูลเหล่านี้มาถอดบทเรียนเพื่อพัฒนากลไกคุ้มครองและบำบัดฟื้นฟูผู้ถูกกระทำ พร้อมเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย 7 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
จากนั้นได้จัดเสวนา “How to..นักการเมืองหญิง ร่วมผลักดัน ท้องถิ่น ชุมชนจัดการความรุนแรงในครอบครัว 24 ชม.” จากตัวแทน 4 พรรคการเมืองประกอบด้วย ผศ.รัชดา ธนาดิเรก ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส.พรรคประชาชน และ นส.รัดเกล้า สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
นส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่าได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้ตั้งตั้งแต่ยังไม่ได้เป็น สส. พอได้มาเป็น สส. ก็ผลักดันเต็มที่ ทั้งนี้ในการแก้ไขปัญหาเริ่มต้นทุนจากพรรคการเมือง ต้องเห็นความสำคัญของปัญหานี้ไปในทิศทางเดียวกัน เข้าใจตรงกัน และส่งเสริมให้มี สส. ผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น จะทำให้การผลักดันนโยบายคุ้มครองแก้ปัญหาความรุนแรงมีความคืบหน้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคไหนก็ผลักดันต่อแน่นอน ส่วนข้อเสนอจากเวทีนี้นั้นทางพรรคจะนำเข้าไปหารือเพื่อกำหนดเป็นนโยบายสำหรับหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า ส่วนเรื่องแก้กฎหมายจัดสรรงบฯเพิ่มบุคลากร ต้องใช้เวลาระยะยาวในการผลักดัน แต่เมื่อทุกพรรคตรงกันแล้วดันไม่ยาก สิ่งสำคัญต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสังคมจะทำให้การผลักดันการแก้ปัญหาเหล่านี้มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
อย่างไรก็ตามยอมรับว่ากลุ่มนักการเมืองก็มีส่วนสร้างความรุนแรงสังคม ดังนั้นพรรคการเมืองต้องไม่เพิกเฉย ไม่เช่นนั้นสังคมก็จะเพิกเฉยด้วย จึงเห็นว่าควรมีการทำสัญญาใจร่วมกันว่าจะผลักดันนโยบายป้องกัน แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงอยากเห็นในการดีเบตแคนดิเตคนายกฯจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ตลอดจนการส่งเสริมให้มีสส.หญิง และคนทำงานระดับต่างๆที่เป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เห็นว่าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ควรบรรจุเรื่องนี้เข้าไปด้วย
“เมื่อก่อนคนไม่อยากยุ่งเรื่องควานรุนแรงในครอบครัว เพราะภาษาวัยรุ่นบอกเดี๋ยวจะได้กินอาหารหมา แต่ตอนนี้ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง การเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะโยงไปถึงปูมหลังตั้งแต่ตอนเด็กของผู้ทำและถูกกระทำที่มองว่าการตีคือความรัก พ่อ แม่ ครูตี อยากให้ได้ดี วันนี้สามีตีก็เพราะรัก ซึ่งเป็นข้อมูลจริงที่เราได้มาจากการสอบข้อเท็จจริง เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่ออกจากสถานการณนั้น ซึ่งหากผ่านกฎหมายไม่ตีเด็กออกมา คนก็จะเข้าใจได้ คนรุ่นใหม่เห็นว่าการถูกตีวัยเด็กส่งผลตอนโตจริงๆ” นส.ศศินันท์กล่าว
ผศ.รัชดา ธนาดิเรก พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลก่อน ซึ่งกำกับดูแลท้องถิ่นได้นำร่องอบรมให้ความรู้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และปกครองท้องถิ่น ให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ของการเป็นผู้แก้ปัญหาความรุนแรง ไม่ใช่แค่เป็นผู้รับรู้ปัญหาแล้วมองว่าเป็นเรื่องในครอบครัว เมื่อเข้าใจแล้วจะเปลี่ยนจาก “ผู้เห็น เป็นผู้ห่วง” มีการจัดสรรงบฯ เพียงพอ ดังนั้นในระยะเวลาอันสั้นของรัฐบาลจะประกาศนโยบายติดอาวุธให้เจ้าหน้าที่ในระดับจังหวัด ส่วนระระยาวที่เสนอมานั้นเราพร้อมสนับสนุน แต่การเมืองไทยไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะหากพรรคร่วมแตกเป็นสิบๆพรรค การมีนายกฯ มาคุมรมต.จากพรรคอื่นก็ไม่ง่าย ดังนั้นที่ทำได้คือแอคชั่นตามสิทธิ์ แต่สิ่งสำคัญคือทุกพรรคการเมืองมีนโยบายเรื่องนี้ตรงกัน รวมถึงปรับทัศนคติตั้งแต่ระดับครอบครัว สังคมให้เข้าใจว้าความรุนแรงไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน
ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยกำลังรวบรวมนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้งหญิงและชาย มาทำนโยบายไปสู่การผลักดันต่อในสมัยหน้า ซึ่งจะนำข้อเสนอของวันนี้เข้าไปพิจารณาด้วย เห็นด้วยเรื่องนี้ต้องเป็นวาระชาติ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้กรรมาธิการกฎหมายมีการศึกษาเรื่องความรุนแรงพบว่าปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น จากนี้จะมีการเสนอการแก้ปัญหาต่อสภา แต่หากไม่ผ่านก็อาจจะทำในนามพลังสตรี ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย สมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญเรื่องนี้และมองว่าความจนเห็นสาเหตุหนึ่งของความรุนแรง จึงส่งเสริมการทำงานที่ของสตรี และคนในครอบครัว ลดภาระค่ารักษา และร่วมดูแลทางด้านสุขภาพจิตต่างๆ ส่วนเมื่อเกิดเหตุรุนแรงขึ้นก็ต้องมีหน่วยงานเข้าไปดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนการป้องกันต้องเริ่มจากการตรวจตราในชุมชน โดยเครือข่ายอาสาสมัคร จัดสรรงบฯ เป็นต้น
นส.รัดเกล้า สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ไม่ควรแยกออกจากประเด็นอื่น และไม่ควรมองเป็นแค่เรื่องทางสังคมเท่านั้น แต่ปรับใหม่ให้มองว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะคนเป็นทรัพยากรสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายเดียวกันดีที่สุด ไม่ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็จะสามารถจขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป และถ้ามีนโยบายกลางให้ทุกพรรคเอาไปได้ใช้ตนเห็นว่ามี 3 ข้อคือ 1. ตั้งงบฯ ดูแลปัญหาทางเพศ 2. ข้อมูลบิ๊กดาต้า เพื่อออกแบบการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และ 3. โควต้าให้คนที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นพรรคสตาร์ทอัพ ที่อยากได้คนรุ่นใหม่มาร่วมทำงาน แต่การตั้งชื่อตำแหน่งของตนให้เป็นรองหัวหน้าพรรคทำภารกิจสิทธิเด็ก สิทธิสตรี และความยั่งยืน ช่วงแรกอาจมองว่าเชย ล้าสมัย แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค บอกว่าให้คงไว้ เพื่อให้เห็นว่า เราจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ในการเสวนาครั้งนี้ มูลนิธิเพื่อนหญิง พร้อมด้วยมูลนิธิพิทักษ์สตรี และเครือข่ายสตรี 4 ภาค ร่วมกับ สสส. ได้ยื่นข้อเสนอ 7 ข้อเสนอเชิงนโยบาย ต่อพรรคการเมือง 4 พรรค โดยเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองผลักดันให้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็น “วาระแห่งชาติ” พร้อมเร่งบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับนโยบายถึงพื้นที่ เพิ่มงบประมาณ บุคลากร และกลไกคุ้มครองผู้ถูกกระทำ รวมถึงการบำบัดผู้กระทำความรุนแรง นอกจากนี้ ยังเสนอให้เร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับภาคประชาชน) ที่มีผู้ร่วมลงชื่อกว่า 26,000 ราย เพื่อให้การคุ้มครองผู้ถูกกระทำมีประสิทธิภาพจริง ยุติการยอมความกับผู้กระทำผิด และสร้างสังคมปลอดภัยสำหรับเด็กและสตรีอย่างยั่งยืน.
