สันต์ สะตอแมน
“ต้องบอกตัวเอง..
เวลาแฟนคลับโยนดอกไม้ หรือก้อนหินเข้ามา เราก็ต้องตั้งสติ และพิจารณาตัวเอง เราต้องไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว
เวลาใครมาเตือนเรา เราก็ต้องดูตัวเองว่าเออ เราผิดไหม เราทำถูกหรือเปล่า เราทำดีหรือยัง เราต้องไม่เป็นน้ำเต็มแก้วค่ะ
เมื่อไหร่เราเป็นน้ำเต็มแก้ว เมื่อไหร่เราล้นเราผยองตัวเองมากๆ วันนึงมันน่ากลัว คนที่ใครเตือนไม่ได้พูดไม่ได้มันน่ากลัว
นี่บอกตัวเองนะ บอกตลอดว่าเราต้องเป็นคนมีสติมากๆ เมื่อไหร่ที่คิดว่าฉันแน่ ฉันเก่ง ฉันเดอะเบสต์ ฉันที่สุด มันเป็นจุดที่น่ากลัวสำหรับทุกคน
แล้วพี่บอยย้ำเนอะ อยู่วงการมา 25 ปี เห็นดาราตั้งแต่วันสูงสุดกับดับสุดเห็นมาตลอด ดารามาแล้วก็ไปค่ะ แต่บอยยังอยู่ตรงนี้ และอยู่ที่เดิม ทำหน้าที่ข่าวตรงนี้มา 25 ปี”
เนี่ย..เป็นคำกล่าวของคุณบอย-ธิติพร จุติมานนท์ คนข่าวบันเทิง (อิสระ) ซึ่งจะพูดถึงใครนั้นหลายท่านอาจจะพอรู้ หรือหากไม่รู้ ก็อย่าไปติดใจ-สงสัย..
ด้วยไม่ใช่เรื่องใหญ่โต สลักสำคัญอะไร เป็นเพียง “พี่สอนน้อง” ด้วยความรักความปรารถนาดี!
ซึ่งคนข่าวบันเทิงกับดาราก็เปรียบเป็นพี่เป็นน้องกัน มีอะไรพอจะตักเตือน แนะนำกันได้ก็จะบอกกันตรงๆ และมีบ้างเป็นธรรมดาที่ดารา-นักร้องบางคนอาจจะไม่พอใจ-น้อยใจ
แล้วสวนกลับเอากับพี่-น้องนักข่าวแบบไม่ไว้หน้า ไม่เกรงใจ แต่ถึงอย่างไรความผูกพันก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้เคียดแค้นอาฆาตแบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ!
ก็อย่างคุณบอยว่า.. “ถ้าเจ้าตัวรู้สึกไม่สบายใจ เขาจะกระแทกเรากลับมา เราต้องรับเขาให้ได้ เพราะสิ่งที่เราพูดมันเหมือนเรากระแทกไปที่เขาเหมือนกัน..
ถ้าสิ่งที่พี่พูดมันช่วยหนูได้ มันดึงสติหนูได้ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้ช่วยน้อง แต่ถ้าน้องไม่โอเค หนูปล่อยผ่านเลยลูก เท่ากับลมปากพี่บอยเป็นขยะ
แต่ก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่พูด พูดจากความรักหนู พูดจากความเป็นห่วงหนู พูดจากการเป็นคนที่อยู่ตรงนี้มานาน รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แก่แบบนี้แล้ว คงไม่ได้พูดอะไรแบบไม่คิด”
ครับ..นั่นก็เป็นสีสันของคนแวดวงบันเทิง และที่ผมหยิบเอาคำกล่าวของคุณบอยมาเขียน ก็ด้วยระหว่างนี้เห็นมีการโยนดอกไม้และก้อนหินเข้าใส่กันจนดูให้เวียนหัวตาลาย
โดยเฉพาะในแวดวงสื่อและอินฟลูเอนเซอร์ ที่ยึดเอาจริต-อารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องราวว่าเป็นอย่างไร..
ทำตัวเป็นกูรู น้ำเต็มแก้ว บ้างก็ล้น ผยองพองขน มองเห็นคนอื่นต่ำต้อย โง่กว่า แล้วใช้วาจาหยาบคาย ดูหมิ่น ดูแคลน ด้อยค่าอย่างเมามัน!
ฉันแน่ ฉันเก่ง ฉันเดอะเบสต์ ฉันที่สุด..มีใครสะกิดนิด สะกิดหน่อยไม่ได้ ต้องกระแทกกลับ (รุนแรงกว่า) ในฉับพลันทันใด ซึ่งก็ให้น่ากลัว ขนหัวลุกอย่างคุณบอยว่าไม่ผิดเพี้ยน!
เวลานี้ แทบมองไม่เห็นสื่อหรืออินฟลูฯ คนไหนจะได้พิจารณาตัวเอง ทำตัวไม่เป็นน้ำเต็มแก้วเลยสักราย มีเห็นก็แต่..
ฟาดมากูฟาดกลับ ด่ามากูด่ากลับ แล้วก็คอยนั่งนับยอดไลก์จากเอฟซีที่กดดวงใจให้ในฐานะที่พูดได้ตรงใจ-ตรงจริต ส่วนจะผิด-จะถูก ช่างหัวมัน!
สังคมจึงดูเหมือนเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ฟังเหตุฟังผล กระทั่งเรื่องง่ายๆ กรณีคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนิสิตจุฬาฯ 4-5 สาว ก็ไม่วายจะต้องถือข้าง-ถือหาง ถกเถียง-ตอบโต้กัน
งั้น..เอางี้ วันนี้ผมขออนุญาตลอกข่าวจาก “สำนักข่าว นั่งเทียนนิวส์” ที่คุณรัก-ศรัทธา ศรัทธาทิพย์ นักแสดงอิสระ ครูสอนการแสดง ผู้กำกับ ได้วิเคราะห์มาให้อ่านกัน เชิญ..
“คลิปพี่มาร์คกับเด็กๆ นั้น ทีมพี่มาร์คอยู่เบื้องหลังการผลิต!!
-เริ่มจากไปคัดเด็กที่เกิดไม่ทัน ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่บรีฟข้อมูลให้ พร้อม ส่งไปสู้กับคนที่รับผิดชอบในการปฏิบัติงาน! (ตั้งใจไปดับอนาถ)
เพราะตอนแรก บอกเด็กๆ ว่า แค่เตรียมป้ายไปชู “เค้าก็เดินหนีขึ้นรถกลับแล้ว” แต่พี่มาร์คกลับนั่งคุย (ตามแผนทีมพี่มาร์ค)
-ถ้าน้องไม่รู้เรื่องเพราะโตไม่ทันเหตุ ก็ยังพอบรีฟข้อมูลและประเด็นให้เด็กๆ ได้
แต่กลับตั้งใจเลือกน้องที่ไม่มีกิริยามารยาทดีๆ ให้คนสงสารหรืออยากเป็นพวกด้วย
ดันส่งคนที่พร้อมโชว์โง่ ก้าวร้าว และหลุดคำที่ตอกย้ำความเยินในความคิดมาอีก แบบทักษะการโต้วาทียังไม่ผ่านระดับโต้คารมมัธยมศึกษาเลย
ใครจะโง่บัดซบส่งเด็กแบบนี้มาออกสื่อ ดังนั้น คลิปนี้ ทีมพี่มาร์คอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ยิ่งเผยแพร่ ยิ่งเข้าทางเค้า รู้ทันนะจ๊ะ…
จบข่าวนั่งเทียนนิวส์ ไปกินยาก่อนนะ”
แฮ่ะแฮ่ะ..อ่านจบก็แยกกันไปกินยาด้วยล่ะ!.

