ผักกาดหอม
แจ่มแจ้ง…
ความเป็นพรรคเพื่อไทยถูกเปิดเผยจาก “คนใน” อีกครั้ง คราวนี้มาในช่วงจังหวะเวลาที่ไม่เป็นคุณกับพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย
และมีน้ำหนักมากกว่าหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ทำให้หลุดจากตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อของพรรคไปด้วย คือการเปลี่ยนแปลงที่ช็อกพรรคเพื่อไทยมากทีเดียว
เพราะเหตุผลการลาออก คือ ตัดขาด!
ร่วมงานกันไม่ได้อีกต่อไป
“…การตัดสินใจนี้ไม่เกี่ยวกับที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน หรือกระแสตก แต่เหตุผลมาจากการบริหารจัดการภายในที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี ๒๕๖๖ เชื่อว่า สส.ส่วนใหญ่ ก็อึดอัดกับสถานการณ์ในพรรคกับการจัดลำดับความสำคัญที่มีปัญหาค่อนข้างมาก แต่ผู้บริหารพรรคมองไม่เห็น
ทั้งที่การเลือกตั้งทั้งในระดับ สส. หรือท้องถิ่น ก็ฟ้องอยู่ว่า พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่ผมมีส่วนในการบริหารจัดการมาโดยตลอด ก่อนจะถูกลดบทบาท กระทั่งไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลย
อย่างที่ จ.เชียงใหม่ ที่เลือกตั้งล่าสุดได้มาเพียง ๒ เขต ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของพรรค จุดเปลี่ยนมาจากการที่พรรคสนับสนุน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ถึง ๒ สมัย แต่เมื่อได้ทำงานกลับทำงานแบบไม่เห็นหัวใคร ไม่เคยประสาน สส. หรือผู้สมัคร สส.ของพรรคที่ไม่ใช่พวกตัวเอง มันก็เลยพังอย่างที่เห็น
และจุดแตกหักสุดท้าย กรณีที่พรรคมอบหมายให้เฟ้นหาผู้ที่มีศักยภาพ เพื่อเสนอตัวเป็นผู้สมัคร สส. ที่เขต ๑ จังหวัดลำพูน เมื่อได้คนที่มีความเหมาะสม และเริ่มให้ทำพื้นที่ก็ได้กระแสดี แต่พรรคตัดสินใจเลือกคนอื่นโดยไม่แม้แต่จะนำชื่อคนที่ผมไปชักชวนเข้าไปเป็นตัวเลือกในการพิจารณาด้วยซ้ำ
เพราะผู้มากบารมีในพรรคบางคนเข้ามาล้วงลูก สั่งการจะเอาคนนั้นคนนี้ลง โดยไม่ทำโพล เมื่อกระแสพรรคเป็นแบบนี้ การวางตัวผู้สมัคร สส.ย่อมต้องละเอียดมากที่สุด จะทำกันแบบเดิมๆ ไม่ได้
การตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจเพียงลำพัง ไม่ได้หารือหรือแจ้งให้ คุณจุลพันธ์ (อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค) ทราบแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสายสัมพันธ์ครอบครัว และคุณจุลพันธ์ ถือว่ามีความอาวุโสทางการเมือง และมีแนวทางของตัวเอง
ไม่อยากให้มองว่า ผมทิ้งพรรคเพื่อไทยในวันที่พรรคตกต่ำ เพราะที่ผ่านมาทุ่มเทเต็มที่ให้กับพรรค และกับครอบครัวชินวัตรมาโดยตลอด
ยอมรับว่าใจหายเเละเสียใจอย่างยิ่ง เพราะได้ร่วมบุกเบิกมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย
สุดท้ายนี้ผมขอกราบขอบพระคุณ อดีตนายกฯ ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ รวมถึงอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตลอดจนผู้ร่วมอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย และขอส่งกำลังใจและความปรารถนาดีไปยังทุกท่านที่ร่วมเดินทางกันมา”
“ส่วนตัวอายุ ๘๔ ปีแล้ว ในความเป็นจริงก็คิดที่จะพักผ่อน ปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ แต่ก็มีหลายๆ เรื่องที่ยังคั่งค้างอยากผลักดันให้คนเชียงใหม่ และคนไทยทั้งประเทศก่อนที่จะวางมือทางการเมือง
หากมีใครเห็นความสำคัญ เห็นความรู้ประสบการณ์ที่มีของผม ที่อาจไปช่วยเสริมในบางมิติให้นักการเมืองรุ่นลูกรุ่นหลานในลักษณะที่ปรึกษา ก็พร้อมและยินดี แต่ยืนยันว่าไม่ได้ถูกพรรคไหนดูด เพราะแม้จะมีคนรู้จักและสนิทสนมคุ้นเคยกับหลายพรรคการเมือง แต่คงไม่มีพรรคไหนกล้ามาดูดผมแน่นอน…”
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรครับ?
ก็ตามที่คาด
“สมพงษ์” ถูกปลดออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเมื่อปี ๒๕๖๓
ในวันนั้น “สมพงษ์” ให้เหตุผลว่า
“…ที่ผ่านมา ผมเห็นว่าด้วยองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหาร และการกำหนดภารกิจในส่วนต่างๆ ของพรรค ทำให้คณะกรรมการบริหารยังไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามนโยบายและข้อบังคับของพรรค
ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารเสียใหม่ เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนี้ และเพื่อให้การบริหารงานของพรรคเพื่อไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามนโยบายของพรรคที่ได้ประกาศไว้…”
แต่วงในวิจารณ์กันหึ่ง!
“ทักษิณ” สั่งปลด!
หลังจากนั้น “ชลน่าน ศรีแก้ว” ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน
“นายใหญ่” ไม่ให้ไปต่อ
ไม่ทราบว่าสถานีต่อไปของ “สมพงษ์” คือพรรคอะไร
แต่ในอดีต “สมพงษ์” คือหัวหน้ากลุ่ม ๑๖ ที่มี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญ
นี่ยังไม่ยุบสภานะครับ
ฟังจาก “สมพงษ์” แล้ว ยุบสภาเมื่อไหร่ เลือดล็อตใหญ่ไหลออกจากเพื่อไทยแน่นอน
อย่างไรก็ตามคำพูดของ “สมพงษ์” สะท้อนถึงสถานการณ์พรรคเพื่อไทยในวันนี้ได้ดีที่สุด
มีจุดแตกหัก
กระแสตก
พรรคตกต่ำ
ผู้มากบารมีครอบงำพรรค
สส.ส่วนใหญ่อึดอัด
ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนภาวะขาลงของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
ฝั่งประชาธิปัตย์ เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่วันนี้ (๑๘ ตุลาคม) หากไม่มีอะไรผิดพลาด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะกลับมาอีกครั้ง
แต่หากผิดพลาด พรรคต่ำสิบรออยู่
พรรคประชาธิปัตย์เป็นคู่แข่งพรรคระบอบทักษิณมาอย่างยาวนาน แต่เดินถึงจุดดำดิ่งสุดขีดก่อนพรรคเพื่อไทย
วันนี้ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเดินตามพรรคประชาธิปัตย์มา ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามจะโงหัวขึ้น
พรรคประชาธิปัตย์ เคยผ่านจุดตกต่ำมาแล้ว ในการเลือกตั้งปี ๒๕๒๒ ถือเป็นการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ได้ สส.มาเพียง ๓๕ ที่นั่ง จากที่เคยได้ ๑๑๔ ที่นั่งในการเลือกตั้งปี ๒๕๑๙
แต่หลังจากนั้นค่อยๆ กอบกู้พรรค
ปี ๒๕๓๕ มีการเลือกตั้ง ๒ ครั้ง
ครั้งแรกเดือนมีนาคม ได้ สส. ๔๔ ที่นั่ง
ครั้งที่ ๒ เดือนกันยายน ได้ สส. ๗๙ ที่นั่ง
เลือกตั้งปี ๒๕๓๙ ได้ สส. ๑๒๓ ที่นั่ง
แต่การมาของระบอบทักษิณ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีที่นั่ง สส.น้อยลงเรื่อยๆ จวบจนปัจจุบัน
ประชาธิปัตย์จะกอบกู้พรรคครั้งใหม่สำเร็จหรือไม่
ส่วนเพื่อไทยจะหยุดความตกต่ำได้หรือไม่
เป็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของการเมืองไทยที่ต้องติดตาม.
