สันต์ สะตอแมน
“ถ้าหากกระแสสังคมเชียร์นายณัฐพงศ์เสียงดังมากๆ..
ตนอาจจะไปเจรจากับคุณแม่และภรรยาของนายณัฐพงศ์ เพื่อให้มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย”
คุณภูมิธรรมนี่ก็ช่างกระไร ไม่รู้สึกกระดากปากเลยรึไง ทำยังกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของหรือหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่างนั้นแหละ ถึงได้กล้าจำนรรจ์ (ต่อ)..
“ตนอาจจะไปเจรจากับคุณแม่และภรรยาของนายณัฐพงศ์ เพื่อให้มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย”
โถถังกะละมังหม้อ คุณภูมิธรรม เวชยชัย ไม่ต้องไปเจรจาหรอก รอประเดี๋ยวคุณแม่และภรรยา รวมทั้งคนที่อยู่ในคุกก็จัดการของเขาเองแหละ
ถึงตอนนั้นคุณภูมิธรรมก็คอยยืนกุมไข่-โค้งคำนับนายณัฐพงศ์ที่จะมาเป็นแคนดิเดต-มาคุมพรรคก็แล้วกัน!
แต่ก็อยากให้ฟัง (อ่าน) ที่คุณสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์หน่อยก็ดี.. “ยังไม่เข็ด การเมืองแบบคว้าคนในครอบครัว
ลูกสาวคนหนึ่งโดนตัดสิทธิ ก็จะไปคว้าสามีลูกสาวอีกคนมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เฮ้อ ไม่รู้จักเข็ด
นายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศ ที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการบริหารราชการแผ่นดิน
ไม่ใช่แค่มานั่งหัวโต๊ะที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรียกชื่อกระทรวงยังไม่ถูก เวลากล้องมาถ่าย ก็ทำทีพยักเพยิดเหมือนแคล่วคล่อง แต่ภายในกลวง แล้วแต่ทีมงานจะบอกให้ทำอะไร
ประเทศเสียหายไปมากแล้ว จากเอาคนไม่รู้เรื่อง สักแต่ว่าเป็นคนในครอบครัวที่ตัวเองไว้วางใจมาบริหารประเทศ
ทั้งนโยบายที่ล้างผลาญงบประมาณแผ่นดินเพื่อหวังคะแนนเสียงพรรค ทั้งโครงการที่มีนอกมีในที่ศาลจำคุกไปก็ไม่ใช่น้อย
คนในครอบครัวที่ไม่รู้เรื่อง บ้างก็รับชะตากรรมที่ตัวไม่ได้ก่อต้องหลบลี้ในต่างประเทศ ไม่สามารถกลับมาเป็นวีรสตรี
บ้างก็เสียหายต่อชื่อเสียง กลายเป็นคนละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ถูกตัดสิทธิการดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต
ส่วนตัวลูกน้องและบรรดาคนใกล้ชิดที่เป็นกองเชียร์ ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย
ตราบใดที่เขาไม่ต้องออกเงิน ตัวเองไม่เสี่ยงคุก แถมยังมีผลประโยชน์แก่ตัวเอง ก็สร้างภาพแห่งความหวังให้แก่นายไม่รู้จบสิ้น”
นี่..ลูกน้องและบรรดาคนใกล้ชิดที่เป็นกองเชียร์จะหมายรวมคุณภูมิธรรมด้วยรึเปล่า เจ้าตัวน่าจะรู้ตัว เหมือนกับ “ลูกเขย” นายทักษิณที่ชักเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่า..
อนาคตข้างหน้า อาจเป็นเหมือนพ่อตา หรือ “อาเมีย” ก็เป็นได้!
เอ้า..แต่นั่นได้เป็นกันไปแล้ว ผมหมายถึง “รัฐมนตรี” ที่มีกันทั้งสิ้น 36 ท่าน ซึ่งก็มีทั้งคนนอกและคนในพรรคร่วมรัฐบาล และจากที่ฟังเสียงชาวบ้าน ดูพอถูๆ ไถๆ กันไปได้..
ไม่ถึงกับขี้ริ้ว-ขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้เลอเลิศประเสริฐศรี จากนี้ก็ดูกันที่ฝีมือการทำงาน อย่าเพิ่งวิจารณ์หรือหยามหยันกันเสียแต่ไม่ทันได้ลงมือ!
อยากให้จับตาดูเรื่อง “เขากระโดง” ให้ดีๆ การเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ชาวบ้าน 900 คนถือครองอยู่นั้น จะต้องทำตามขั้นตอนกฎหมายอย่างถูกต้อง
ซึ่งคุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม น่าจะได้แลเห็นช่องทางดำเนินการที่คาราคาซัง-ยืดเยื้อมานานให้จบสิ้น
จะทำอย่างไร? รอเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ 24 ก.ย.นี้ แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาวันที่ 25 ก.ย.เสร็จ..
เชื่อ..ได้เห็นแน่!.
