ไม่เก่ง “แต่เฮง” คือไทย #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

วันนี้…คุยเรื่องไม่สนุกกันซักวันนะ

ถึงไม่สนุก แต่ก็ควรรู้ไว้บ้าง ถือซะว่าเป็นการ “มองเขา-มองเรา” ว่าโลกที่หมุนรอบตัวทุกวันนี้ กำลังพาเราไปสู่ศตวรรษที่ ๒๑

แบบไหน?

แต่บอกก่อน สายตาผมไม่กว้างไกลขนาดนั้นหรอก!

หากแต่ได้เสพวิสัยทัศน์ของ “นักเศรษฐศาสตร์” ผู้จบจาก “มหาวิทยาลัยโตเกียว” ทั้ง ตรี-โท-เอก ผ่านงานเขียนของท่าน

คือ “ดร.สุวินัย ภรณวัย”

ก็เห็นว่า นี่มันเป็น “ยาขม” ที่ไม่มีใครอยากดื่ม

แต่ถ้าไม่ดื่ม

ไทยเราจะถูก “สังคมโลกใหม่” ทิ้งไว้ข้างหลังในฐานะประเทศ “ป่วยเรื้อรัง” ทางโครงสร้าง โดดเดี่ยวอยู่กับเขมร

ดร.สุวินัยเขียนลงเฟซบุ๊กไว้แต่เดือนสิงหา.เราพักคุยการเมืองซ้ำซากกันซักวัน แล้วอ่านแบบเคี้ยวอ้อย ก็จะได้เห็นสิ่งที่เราไม่มี ทั้งที่เรามีจนชาติอื่นอิจฉา!

…………………………………….

สุวินัย ภรณวลัย

ถึงไทยไม่เก่งแต่เฮง: โอกาสทองอีกครั้งในศตวรรษที่ 21

1. ความจริงอันขมขื่น: ไทยไม่เคยเก่ง

หากมองด้วยใจที่ไม่ลำเอียง ต้องยอมรับตรงกันว่า “ไทยไม่เก่ง”

– ไม่เก่งในเชิงการบริหารรัฐ

– ไม่เก่งในเชิงการศึกษา

– ไม่เก่งในเชิงการสร้างนวัตกรรม

ทุกวันนี้ เราถูกถาโถมด้วยข่าวร้ายไม่เว้นวัน:เศรษฐกิจโตต่ำ หนี้ครัวเรือนพุ่ง ผลสอบ PISA ดิ่ง นักท่องเที่ยวหาย คอร์รัปชันเฟื่องฟู

นี่คือความจริงที่คนไทยคุ้นชินจนกลายเป็นความหดหู่ฝังลึก

2.ความเฮงที่ฟ้าโปรด: ส้มหล่นอีกครั้ง

โลกศตวรรษที่ 21 กำลังสั่นสะเทือนด้วยความขัดแย้งครั้งใหญ่…

– จีนและอินเดียถูกสหรัฐฯ กดดันด้วยสงครามการค้า

– รัสเซียติดหล่มสงครามยูเครน

– ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ทุนโลกต้องหาที่พักใหม่

และบังเอิญว่าไทยยืนอยู่ตรง “ศูนย์กลางที่ปลอดภัย” (Safe Haven) ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักลงทุนที่ถอนทุนจากจีน รัสเซีย อินเดีย จึงหันมามอง ASEAN และไทยก็ได้อานิสงส์เต็ม ๆ

3.ไทยอยู่เฉย ๆ ก็ได้โอกาสทอง

ความจริงอันแปลกประหลาดก็คือ แม้รัฐบาลไร้ฝีมือ แต่ยอดคำขอลงทุนของ BOI กลับพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาทในครึ่งปีแรกของไทย

ดึงดูด FDI 700,000 ล้านบาท มากกว่าเวียดนามที่ 300,000 ล้านบาท

เงินลงทุนกว่า 70% คือ อุตสาหกรรมอนาคตทั้งสิ้น เช่น Data Center, Semiconductor, EV, PCB

WHA ปิดดีล Hyperscaler Data Center 70,000 ล้านกับทุนจีน ขณะที่ Amazon, Google, Huawei ต่างมาลงทุนพร้อมหน้า

Data Center ต้องการน้ำและไฟฟ้า 24 ชั่วโมง → ไทยอาจหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเดินหน้า พลังงานนิวเคลียร์แบบ SMR ในอนาคต

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดเพราะ “ไทยเก่ง” แต่เพราะสถานการณ์โลกบังคับให้ไทยดูดีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

เพราะทำเลไทยอยู่กลางเส้นเลือดเศรษฐกิจครึ่งโลก—ระหว่างจีน อินเดีย และ ASEAN นี่คือ “พรหมลิขิตทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่ไม่มีใครพรากไปได้

4.พรสวรรค์ที่ไม่ใช่ฝีมือ

คุณภาพชีวิตที่ยังดี ค่าครองชีพต่ำ คนไทยใจดี ธรรมชาติ sea–sand–sun—all inclusive …ทั้งหมดนี้คือทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สั่งสมมา ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลใด

แต่เป็น ความเฮงของประเทศไทย ที่คอยประคองประเทศไม่ให้ล้มละลายเพราะการคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการ

5.เงื่อนไขของการไม่พลาดโอกาส

แต่อย่าเพิ่งหลงคิดว่าความ “เฮง” จะอยู่กับเราตลอดไป

– เวียดนามกำลังเร่งสร้างฐานอุตสาหกรรมและการศึกษา

– อินโดนีเซียกำลังใช้ทรัพยากรและประชากรขนาดใหญ่ดันตัวเองขึ้นเวทีโลก

หากไทยยังปล่อยให้การเมืองเป็นของทุนเทา และราชการเต็มไปด้วยคนไร้ฝีมือ เราจะเสียโอกาสทองครั้งนี้ให้หลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย

6.บทสรุป: เฮงครั้งสุดท้าย?

ประวัติศาสตร์กำลังมอบโอกาสให้ไทยอีกครั้ง และอาจเป็นครั้งสุดท้ายในศตวรรษนี้

ถึงไทยไม่เก่ง แต่ยังเฮง

ทว่า หากคนไทยไม่รู้จักใช้ความ “เฮง” เป็นบันไดก้าวสู่การปฏิรูปจริงจัง ความเฮงครั้งนี้ก็จะสูญเปล่า

คำถามจึงเหลือเพียงว่า:

เราจะยอมอยู่แค่ “รอดแต่ไม่รุ่ง” หรือจะกล้าผลักตัวเองให้พ้นจากชะตากรรมของรัฐที่รอวันล้มเหลว?

7.ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ทำได้จริงและทำได้ทันที: ใช้ความ “เฮง” เป็นฐานสู่การปฏิรูป

อย่าไปหลงเชื่อศาสดาสื่อหรือเพจปั่นทั้งหลายที่ดีแต่ด่าอย่างเดียว โดยไม่เสนอทางแก้

1.ปฏิรูปพลังงานทันที

เตรียมระบบไฟฟ้า–น้ำให้พร้อมรองรับ Data Center และ EV

เปิดทางศึกษา SMR นิวเคลียร์ขนาดเล็ก อย่างจริงจัง

ขยายพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการนำเข้า LNG

2.สร้าง “เขตนวัตกรรมอิสระ” (Innovation Free Zone)

ให้สิทธิพิเศษกับ AI, Semiconductor, EV, Green Tech

ทำไทยเป็น sandbox ของอาเซียน

3.ลงทุนในสมอง มากกว่างบซื้ออาวุธ

เปลี่ยนการศึกษาจากท่องจำ → critical thinking + digital skill

ภายใน 3 ปี ต้อง Reskill อย่างน้อย 1 ล้านแรงงาน

โครงการ “AI Literacy for All” ให้คนไทยใช้ AI เป็น ไม่ใช่ตกงานเพราะ AI

4.ปฏิรูประบบราชการด้วยรัฐบาลดิจิทัลจริง ๆ

ลดกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็น

ใช้ One Stop Service ออนไลน์

ทำให้การลงทุน–ตั้งบริษัท เสร็จในไม่กี่วัน

5.ตั้ง “กองทุนปฏิรูป”

นำรายได้จาก FDI และภาษีดิจิทัลมาพัฒนาคน–นวัตกรรม–สิ่งแวดล้อม

กันเงินไม่ให้ไหลไปทุนเทาหรือเก็งกำไรอสังหาฯ

○ วิธีช่วยแรงงานตกงาน 2–3 ล้านคนจาก AI

ขอให้ดูข่าวร้ายที่มาแน่ในอนาคตอันใกล้นี้ก่อน …

1,000,000 คน คือตัวเลขที่คาดว่าจะมีคนตกงานในไทยเพราะ AI ภายใน 5 ปี หากเรายังมีรัฐบาลแบบนี้

3,000,000 คน คือตัวเลขคนตกงานเพราะ AI ภายใน 5 ปีหากบริษัทต่าง ๆ รวมถึงรัฐวิสาหกิจไม่ช่วยกันยื้อ

นี่คือ Perfect storm อีกลูกของเศรษฐกิจไทยที่ทำนายได้ว่ามาแน่

โดยที่ AI จะสร้าง business opportunities ใหม่ ๆ ให้คนอีกอย่างน้อย 300,000 คน ทดแทนได้เท่านั้น คือ ทดแทนได้แค่ 10-30% ของการจ้างงานที่หายไปเท่านั้น

ต่อไปนี้คือข้อเสนอ:

1.ยอมรับว่า งานแบบเดิมจะไม่กลับมา

Call Center, งานธุรการ, งานซ้ำ ๆ → หายถาวร

ต้องสื่อสารตรงไปตรงมากับสังคม ไม่ใช่หลอกด้วยประชานิยมชั่วคราว

2.Reskill ด่วนตามอุตสาหกรรมอนาคต

Data Center → technician, cooling system, security

EV → ช่างซ่อม–ช่างแบตเตอรี่

Semiconductor → technician และ operator

แปลงพนักงานบัญชี → data analyst, พนักงานธุรการ → AI operator

3.เขตเศรษฐกิจชุมชน

สนับสนุนเกษตรอินทรีย์–สหกรณ์–ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใช้ AI + Digital Platform

4.ส่งเสริมงานที่ AI แทนไม่ได้

Care economy: งานดูแลผู้สูงอายุ, พยาบาล, ครู

Creative economy: ศิลปะ ดนตรี งานคราฟต์

Tourism experience: ประสบการณ์ท้องถิ่น–วัฒนธรรม

5.AI เพื่อแรงงาน ไม่ใช่ AI แทนแรงงาน

สร้างแพลตฟอร์ม AI สาธารณะ → AI tutor ส่วนตัวให้คนไทยเรียนฟรี

AI matching platform → จับคู่แรงงานตกงานกับธุรกิจใหม่

6.กองทุนปรับตัว

ใช้ FDI + ภาษีดิจิทัล + งบรัฐวิสาหกิจ มารองรับการ Reskill และโครงการสร้างงาน

○ ปิดท้าย

ถ้าไทยใช้ความ “เฮง” แค่ประคองตัว → เราจะเป็นเพียง รัฐที่รอดแต่ไม่รุ่ง

แต่ถ้าใช้ความ “เฮง” เป็นฐานสู่การปฏิรูปจริงจัง → ไทยจะเปลี่ยนจากประเทศที่ “ไม่เก่ง” ไปสู่ประเทศที่ “ไม่อาจถูกมองข้าม”

นี่คือบททดสอบของชาติ และอาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในศตวรรษนี้

………………………………..

ครับ…..

ผมว่า “กุญแจไข” นำประเทศไปสู่จุดที่ “ไม่อาจถูกมองข้าม” ได้ อยู่ที่คำ ๒ คำ ตามอาจารย์สุวินัยเขียน

คือ PISA =Programme for International Student Assessment

“โครงการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล” เป็นการทดสอบที่จัดขึ้นโดย “องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา” (OECD)

เพื่อวัดความสามารถของนักเรียนอายุ ๑๕ ปี ในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

โดยเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริง เพื่อประเมินคุณภาพระบบการศึกษาของประเทศต่างๆ

ตรงนี้ เราต้องใช้โอกาสที่ประเทศเรามี ด้วยการ “สร้างคน” ทางการศึกษา เป็นรากฐานอนาคตประเทศสู่ศตวรรษที่ ๒๑ นี่ เป็นหัวใจหลัก

อีกคำ คือ FDI = Foreign Direct Investment “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ”

นี่ก็สำคัญควบคู่กับการศึกษา เมื่อคนรุ่นใหม่ของเราเป็นทรัพยากรบุคคลถึงมาตรฐาน นักลงทุน ก็จะไม่รีรอที่จะเข้ามาลงทุน

มันไม่เพียงเงินทุนอย่างเดียวที่มา

เมื่ออุตสาหกรรม AI มา วิทยาการด้านเทคโนโลยีต่างๆก็มาให้คนของเราได้เรียนรู้ ค้นคว้า เสริมสร้างทักษะยิ่งๆขึ้น

อยากบอกว่า โลกที่กำลังหมุนไป จุดที่ไทยตั้งอยู่ แสงอาทิตย์คือความสุกสว่าง กำลังส่องถึงพอดี

แต่จะพอดีกับ “สงครามโลก ครั้งที่ ๓” หรือไม่ น่าลุ้นนะ!

เปลว สีเงิน

๑๖ กันยายน ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
“ข้าวเหนียว-น้ำ-นิวเคลียร์”
วันนี้ พักเรื่อง “คน” คุยเรื่อง “ข้าว” ดีกว่า “ข้าวเหนียว” นั่นแหละ…. เห็นโหวกเหวกกันเหลือเกินว่า “ข้าวเหนียวแพง” รัฐมนตรีพาณิชย์ “จุรินทร์...
Read More
0 replies on “ไม่เก่ง “แต่เฮง” คือไทย #เปลวสีเงิน”