3 กันยายน 2568 – ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า สถานการณ์โดยทั่วไปทั้ง 2 ฝ่ายยังอยู่ในภาวะสงบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงเวลาที่ผ่านมา และจากการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เดินทางไปสังเกตการณ์ในพื้นที่กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมาได้เน้นย้ำว่าไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่จะทำหน้าที่สังเกตการณ์เก็บข้อมูลและรายงานอย่างเป็นธรรม
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อว่า แผนงานในการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) สมัยวิสามัญครั้งที่ 2/ 2568 มีกำหนดการจัดระหว่างวันที่ 7-10 ก.ย. 68 ในพื้นที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา โดยรูปแบบการประชุมเหมือนครั้งที่ 1 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือการประชุมของฝ่ายเลขานุการร่วม ช่วงวันที่ 7-9 ก.ย.และจากนั้นวันที่ 10 ก.ย.เป็นการประชุม GBC หลัก และจะมีการแถลงข่าวหลังจากการประชุมในพื้นที่จังหวัดตราด ทั้งนี้ในส่วนของความมั่นคงเป็นเรื่องของการติดตามการดำเนินการบริหารจัดการบริเวณชายแดนพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว โดยในวันเดียวกันนี้ที่ประชุมศบ.ทก. จังหวัดสระแก้ว โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ชี้แจงและนำเสนอแนวทางการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคง ปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่บ้านหนองจานและพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยมีแผนจัดสร้างรั้วระยะทาง 16 กิโลเมตร บริเวณหลักเขตแดนที่ 50 ถึง 51 ซึ่งถือว่าเป็นหลักเขตแดนที่มีการสำรวจและได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้จะมีการสำรวจสิทธิการครอบครองที่ดินในพื้นที่อย่างละเอียด ตลอดจนมีมาตรการดำเนินการตามกฏหมายของไทยในการประกาศใช้กฎหมายกับชาวกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่และแจ้งความดำเนินการกับราษฎรกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ซึ่งที่ประชุมศบ.ทก.ในวันนี้เห็นชอบในหลักการที่จังหวัดสระแก้วได้เสนอมา และจะนำข้อมูลต่างๆนำเสนอต่อที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เพื่อขออนุมัติ
ด้าน นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ประเด็นด้านการต่างประเทศเรื่องแรกการดำเนินการเชิงรุกของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งระหว่างวันที่ 26-28 ส.ค.ที่ผ่านมา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ เดินทางไปนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีการวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ไปชี้แจงกับกลุ่มบุคคลต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา การเยือนครั้งนี้นอกจากได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ไทยยังยืนยันความมุ่งที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา และเป็นโอกาสให้เขาได้สอบถามเพื่อปรับความเข้าใจเรื่องต่างๆให้ได้เข้าใจถูกต้อง นอกจากนี้ยังได้ประกาศว่าไทยจะเข้าร่วมในโครงการรณรงค์ระดับโลกเรื่องการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและดำเนินการด้านทุ่นระเบิด และในเวลาเดียวกันเอกอัคราชทูตผู้แทนถาวรไทย ณ นครนิวหยอก ได้เข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติอีกครั้งเพื่อนำส่งข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติม ต่อกรณีการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่มีทหารไทยบาดเจ็บถึง 6 ครั้ง
นางมาระตี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารตามที่ปรากฎรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ขแมร์ ไทม์ส อ้างกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ว่าเป็นผลจากอาวุธที่ตกค้างของฝ่ายไทยจากการปะทะกันบริเวณชายแดนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และการกระทำในพื้นที่สวนทางกับข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาโดยตลอด ทั้งด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การใช้โดรน การปลุกระดมประชาชน และล่าสุดยังพบการใช้ระเบิดแสวงเครื่องในฝั่งไทย และเร็วๆนี้มีรายงานจากนิตยสาร JANES ซึ่งเป็นนิตยสารด้านความมั่นคง นำเสนอว่าจากหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมพบการก่อตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารในฝั่งกัมพูชาบริเวณชายแดนหลายเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีไทยที่ชี้แจงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาริเริ่มการโจมตี
“ไทยห่วงกังวลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายกัมพูชาที่ทำอย่างเป็นระบบ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้หยิบยกขึ้นหารือกับรมว.การต่างประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย โดย OHCHR มองเป็นปัญหาระดับโลกเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจระหว่างกัน และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหาทางออกโดยสันติ ไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ในลักษณะนี้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและสันติภาพในภูมิภาค สุดท้ายนี้ไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ ” นางมาระตี กล่าว
ขณะที่ น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในการประชุมครม.วันที่ 2 ก.ย. มีมติเห็นชอบยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไทยกัมพูชา ซึ่งจะครอบคลุมกรณีผู้เสียชีวิตและทุพพลภาพ 17 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 136 ล้านบาท และกรณีผู้บาดเจ็บสาหัส 37 ราย เป็นเงิน 29.6 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 165.6 ล้านบาท ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นเจ้าภาพหลักในการดูแลประชาชน เพื่อให้ได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้อย่างครบถ้วนและเร็วที่สุด ขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจเราเร่งแก้ไข ฟื้นฟู และใส่ใจความเป็นอยู่ของทุกคนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และขอให้เชื่อมั่นว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รัฐบาลจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกๆก้าว เพื่อก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน