พันธนาการ “สองพ่อลูก” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

“นายกฯ อุ๊งอิ๊ง”…..

ยามนี้ ดูหน้าเจ้าหมองเหมือนตะวันโพล้เพล้ที่ชวนร้องไห้

เพราะเหลียวมองไปทางไหนยามนี้

“ทั้งลูก-ทั้งพ่อ” จะเป็นดั่งเพลง “ผู้แพ้” ในท่อนว่า “แพ้ไปทุกสิ่งอกเอ๋ย ไม่เหลืออันใดเลย ชะตาเอ๋ยช่างเลวทราม” อย่างนั้นจริงๆ!

“มติแพทยสภา” ก็แพ้พ่าย

การไต่สวน “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง” นัดแรกเมื่อวาน(๑๓ มิ.ย.) แค่ปากแรกจาก “ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ”

พ่อก็รำไรใกล้คืนคุก!

ศึกเขมร “เพื่อนพ่อ” กลัวทหารไทยจนปอดแหก ใช้กึ๋นเก๋า ทำสงครามจิตวิทยา โพสต์ยุแยงให้ “รัฐบาลระแวงทหาร”

หวังยืมมืออุ๊งอิ๊ง “กำจัดศัตรู” คือทหาร โดยเฉพาะ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ ๒ ที่ไอ้โอ๊บท่านติดคอเขมรอยู่ตอนนี้

ศึกใน พ่อเร่งเกมให้ “ปรับครม.” ยึดมหาดไทย หวัง ๒ ต่อเข้าฮอส ต่อแรกเปิดทาง “ทำพนันออนไลน์” ต่อที่สอง จัดทัพผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด ก่อนยุบสภา รับเลือกตั้งใหม่ปีหน้า

บรรยากาศ “รัฐบาลพรรคร่วม” จึงมีแต่คำว่า “พังกับพัง” จ่อรออยู่สถานเดียว!

(แต่จะมีปาฎิหาริย์ที่คาดกันไม่ถึงให้เห็นจนตะลึงตาค้าง)

ตอนนี้รัฐมนตรีพรรคร่วม หน้าบูดเหมือนข้าวเย็นก้นบาตร ส่วนรัฐมนตรีเพื่อไทย หน้าบานเป็นดอกอุตพิต กับเก้าอี้ใหญ่ ที่นายสั่งให้เข้าไปยึด

ภาพรวมของสถานการณ์ ปัจจุบันก็ประมาณนี้ รัฐบาลที่ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน อยู่ก็เหมือน “ผีตายซาก”

เพราะอย่างนั้น คนแต้มบอดอย่างฮุนเซน จึงกล้าเกไพ่กับผู้นำรัฐบาลไก่อ่อน เมื่อวาน (๑๓ มิ.ย.)โพสต์เฟซข่มว่า

…………………………………..

“เมื่อคืนผมได้กล่าวไปแล้ว เช้านี้ผมขอกล่าวเพิ่มเติมในนามผู้นำกัมพูชาว่า เนื่องจากฝ่ายไทยปฏิเสธที่จะเปิดด่านชายแดน ซึ่งกำลังถูกปิดโดยไทยเพียงฝ่ายเดียว

ดังนั้นกัมพูชาจะดำเนินการดังต่อไปนี้

๑. ประกาศห้ามนำเข้าสินค้าไทย โดยจะทดแทนด้วยสินค้าที่ผลิตเองในกัมพูชา หรือนำเข้ามาจากประเทศอื่น

๒. เตรียมซื้อสินค้าเกษตรกัมพูชาซึ่งมีไว้สำหรับส่งขายให้ไทยแล้วนำมาบริโภคเองในกัมพูชาหรือส่งขายประเทศอื่น

๓. นำตัวผู้ป่วยที่เคยต้องไปรับการรักษาในประเทศไทยกลับมารักษาตัวในกัมพูชาหรือประเทศอื่น

๔. เตรียมรับคืนแรงงานกัมพูชากลับ ปัจจุบันกัมพูชามีปัญหาขาดแคลนแรงงานหลายหมื่นตำแหน่ง

ทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการก่อสร้าง จึงขอเชิญชวนให้แรงงานกัมพูชาตัดสินใจกลับประเทศ ก่อนที่จะถูกทางการไทยขับไล่

ซึ่งในเวลานี้ พวกเขาเองก็กำลังประสบกับการถูกดูถูกเหยียดหยามในหลายพื้นที่

๕. ให้กองทัพทั้งหมดของกัมพูชาเตรียมพร้อมรับมือสงครามตลอด ๒๔ ชั่วโมง

๖. พื้นที่จังหวัดใกล้เคียงกับแนวชายแดนไทยทั้งหมด ให้เตรียมการอพยพผู้คนไปยังพื้นที่ปลอดภัย และเตรียมอาหาร ยา และสิ่งของที่จำเป็นอื่นๆ

หากว่าทางไทยยังไม่ยอมเปิดด่านพรมแดนให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ พวกเราคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะดำเนินการทั้งหมดตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น

“ผมขอเรียกร้องให้ประชาชนชาวกัมพูชา อย่ากระทำการสุดโต่ง อย่างเช่นการไปประท้วงหน้าสถานทูตไทย บริษัทไทย หรือชาวไทยในกัมพูชา

และอย่าได้เกลียดชังคนไทยในเชิงเชื้อชาติ เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนดี มีเพียงแค่กลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มและทหารบางส่วนที่อยู่เบื้องหลังความขัดแข้งกับกัมพูชา

ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมกองทัพของตนเองได้เหมือนรัฐบาลของพวกเรา”

เดโชสารพัดพิษ “คายตะขาบ” ใส่ในวรรคสุดท้ายได้สมกับความเป็น “ขิงแก่” ของเขาจริงๆ

ทำไป-ทำมา “การปิดด่าน” เขมรแสดงชั้นเชิงว่าเขาเป็นฝ่ายกดดันไทย ไม่ใช่ไทยเป็นฝ่ายกดดันเขาไปซะงั้น!

ยิ่งนายกฯ คุณหนู ออกมาหน่อมแน้ม เรื่อง “ตัดไฟ-ตัดเน็ต”

“เรายังไม่ได้ทำแบบนั้น อาจมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น จึงได้มีการพูดคุยกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและคณะทำงานว่าเกิดอะไรขึ้น จนทำให้เข้าใจผิดว่ารัฐบาลออกแถลงการณ์ว่าจะตัดน้ำตัดไฟ ซึ่งไม่จริง”

อุ๊งอิ๊งเลยถูก “ฮุนมาเน็ต” โพสต์ลูบหัวเล่นซะเลย ………

“ช่วงนี้ มีข้อมูลมากมาย ที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับภัยคุกคามของกลุ่มหัวรุนแรงไทยบางกลุ่มที่ จะตัดกระแสไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่ส่งให้กัมพูชา

เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าหรือทำให้ฝ่ายไทยตัดสินใจได้ยาก ว่าจะตัดกระแสไฟฟ้าหรือไม่หรือตัดเมื่อใด

กัมพูชาจึงตัดสินใจที่จะจัดหากระแสไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตเองโดยไม่ต้องพึ่งพาการซื้อจากประเทศไทย

ท่านเจีย วันเด็ต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม ได้รายงานให้ผมทราบว่า

ตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้เป็นต้นไป บริษัทเครือข่ายใยแก้วนำแสงหรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งหมดในกัมพูชา

จะหยุดซื้อแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตจากประเทศไทย

เนื่องจากเรามีความสามารถในการจัดหาบริการอินเทอร์เน็ตที่เพียงพอด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาไทย

นอกจากนี้ ท่านแก้ว รัตนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงาน ยังได้ยืนยันความสามารถของกัมพูชาในการจัดหาไฟฟ้าที่เพียงพอให้กับกัมพูชาด้วยตัวเอง

นอกเหนือจากกระทรวงทั้งสองข้างต้นแล้ว…..

ผมได้สั่งให้กระทรวงและสถาบันต่างๆ ของกัมพูชา ทบทวนและเตรียมพร้อมในเวลาที่เหมาะสม

เพื่อดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติม หากมีภัยคุกคามจากการตัดการเชื่อมต่อในกัมพูชา”

พ่อลูกคู่นี้ “โคลนนิ่ง” กันมาทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ดูซิว่าจะซ่าไปได้ซักกี่น้ำ

วันนี้ ๑๔ มิ.ย.จะประชุม JBC กันที่พนมเปญ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งที่ช่องบก รวมถึงการปักปันเขตแดน

ด้วยบรรยากาศกวนโอ้ยเช่นนี้ ปมว่า อย่าไปหวังผลทางด้านการตกลงอะไรกันเลย

แต่ไม่ต่อยกันกลางวงประชุม ก็ถือว่าสันติภาพมาเพียบแล้ว!

ย้อนกลับมาดูเรื่องที่ศาลฎีกาฯเมื่อวานนี้บ้างดีกว่า สรุปว่าทักษิณไม่ได้ไป ส่งทนายไปแทน

“นายมานพ ชมชื่น” ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ คนปัจจุบัน ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ หลังจากทักษิณพ้นโทษไปแล้ว ขึ้นไต่สวนเป็นพยานปากแรก

ประเด็นหลักจากคำให้การของนายมานพก็ประมาณว่า

ตอนที่รับตัวทักษิณเจ้ามา….

“พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์” ได้ตรวจร่างกาย ระบุว่าทักษิณอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง ๖๐๘ คืออายุเกิน ๖๐ ปี และมีโรคเรื้อรัง ๘ โรค ซึ่งสามารถดูอาการที่เรือนจำได้

แต่หากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก และทำใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติในเรือนจำ

นายมานพยังระบุว่า ภายในเรือนจำ จะมีพยาบาล ๑ คน ต่อผู้ต้องขัง ๔ พันคน โดยไม่มีแพทย์ประจำและวินิจฉัยโรงเบื้องต้น

ภายในเรือนจำนี้ เป็นคนละที่กับทัณฑสถาน “โรงพยาบาลราชทัณฑ์”

จากการตรวจสอบพบว่า ทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก

แพทย์ไม่ได้ตรวจวินิจฉัย….

แต่พยาบาลเป็นผู้โทรไปประสาน “นพ.ณัฐพร” แพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังจากนั้น จึงเป็นผู้มีความเห็นให้ส่งตัวไปรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ

เมื่อศาลซักถามถึงกระบวนการส่งตัว นายมานพ เบิกความยอมรับว่า….

“ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ใกล้กับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรียกได้ว่ามีบริเวณรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

ซึ่งปกติผู้ต้องขังจะต้องถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกครั้งก่อนส่งไปโรงพยาบาลภายนอก”

นายมานพ ยังเบิกความย้ำถึงการส่งตัวอีกว่า การส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาตัวนอกสถานที่นั้น

เป็นการอาศัยระเบียบกรมราชทัณฑ์ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ซึ่งการส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ที่มีการใช้เป็นปกติ ซึ่งจะแตกต่างจาก ป.วิอาญา ที่เป็นการทุเลาโทษ

และการส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ จะนับระยะเวลาการรักษาเข้าไปในวันจำขังด้วย

หลังไต่สวนนายมานพเสร็จ ศาลเห็นว่ามีความจำเป็นต้องไต่สวนพยานเพิ่มเติมอีก ๒๐ ปาก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง

-๔ ก.ค.ไต่สวนกลุ่มแพทย์ที่เกี่ยวข้อง อย่าง พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์, นพ.ณัฐพร

-๘ ก.ค.ไต่สวนเจ้าหน้าที่พัศดีและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ “นายสัญญา วงศ์หินกอง” พัศดีเวรประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

-๑๕ กค. ไต่สวนผู้บริหาร “โรงพยาบาลราชทัณฑ์” และผู้บริหาร “เรือนจำพิเศษกรุงเทพ”

ในจำนวนนี้มี “นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน,

นายนัสที ทองปลาด อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ, นายปราโมทย์ ทองศรี อดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

และศาลได้นัดอีกครั้งในวันที่ ๑๘, ๒๕ และ ๓๐ กรกฏา.

นอกจากนี้ ศาลให้ ป.ป.ช.ส่งรายงาน…..

การสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ก.ส.ม.)ว่าด้วยเรื่อง “มติที่ประชุมแพทยสภา”

และใบเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวรควบคุมตัวนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ

พร้อมทั้งประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศที่ราชทัณฑ์ ให้ส่งกลับมายังศาลภายใน ๑๕ วัน ถ้าไม่มีให้เเจ้งต่อศาล

จะเห็นว่า ศาลฯ ท่านให้โอกาสทุกฝ่าย และใช้เวลาไม่มาก-ไม่น้อย สิ้นเดือนกรกฎา.เรื่องป่วยทิพย์ ชั้น ๑๔ ทักษิณจะคืนคุกหรือคืนจันทร์ส่องหล้า ได้รู้กัน

อย่างที่คุยกันไปนั่นแหละ กรกฎา.คาบเกี่ยวสิงหา.

-ทักษิณ เข้าหรือออก

-รัฐบาล เจ๊งหรือเจ๊า

-นายกฯ อุ๊งอิ๊ง อยู่หรือไป

“หวยออก” แน่นอน!

      -เปลว สีเงิน

       ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ

 

 

 

Written By
More from plew
แด่ “หัวหน้าพรรค” ที่นับถือ – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ปีนี้ “นักษัตรเสือ” เป็นปีชงหรือปีสมพงศ์กับรัฐบาลก็ไม่ทราบ เพราะพอเริ่มปีนักษตรใหม่เท่านั้นแหละ เสือตะปบใส่รัฐบาลก่อนเลย!
Read More
0 replies on “พันธนาการ “สองพ่อลูก” #เปลวสีเงิน”