เปลว สีเงิน
กองทัพ “แค่ขยับ” เขมรกร่างก็ “ถอยกรูด”!
“อุ๊งอิ๊ง” โผล่มาโพสต์ทันที…….
“ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์
โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า
และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วค่ะ”
ทำเอาชาวบ้านเกาหัวแกรก ร้อง….อิหยังวะ
“เคลมเอาดื้อๆ อย่างนี้น่ะหรือ?”
เขาเห็นกันทั้งบ้าน-ทั้งเมือง ว่าเพราะ ๓ เหล่าทัพออกมาทำ “รัฐบริบาล” แบบสุนทร แค่ปิดด่าน เขมรกวนโอ๊ยที่ช่องบกก็ตาแหก
“พล.ท.สรัย ดึ๊ก” รองผบ.ทบ.และผบ.กองพลสนับสนุนที่ ๓ ของเขมร วิ่งแจ้นมาขอเจรจากับฝ่ายทหารไทย
พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ ๒ มอบให้ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กองกำลังสุรนารี กับพล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ ๒ ไปเจรจา
จากที่พูดกันไม่รู้เรื่อง คราวนี้เขมรจ๋า…จ้ะ รู้เรื่องหมดว่าล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย พร้อมถอยกลับไปสู่ที่ตั้งตามแนวเดิมของเขา
“คูเลต” ที่เขมรขุดไว้ (แอบฝังอะไรไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้) ก็ให้กลบกลับไปสู่สภาพเดิมให้หมด
ตลอด “เสาร์-อาทิตย์” ที่กองทัพออกมาปฎิบัติการ “รัฐบริบาล” จนเขมรหางจุกตูด นายกฯ คงเลี้ยงลูกอยู่บ้าน
แต่รุ่งเช้า-วันจันทร์ นายกฯ กลับโพสต์หรา …….
“ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์”!?
จะจริง-จะเท็จก็ช่าง แต่คนเป็นนาย ควรรู้หลักบริหารไว้อย่าง มีหน้าที่ส่งเสริมงานผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่ไปปล้น-ไปเคลม
ผลงานผู้ใต้บังคับบัญชามาเป็นของตน
ภูมิธรรม “นายกฯ น้อย” ที่ถูกพล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกฯ และรมว.กลาโหมเขมร ยิ้มหยันวันไปเจรจาที่สระแก้ว นั่นก็พอกัน
ภูมิธรรมบอก…..
“ในนามของกระทรวงกลาโหมและกองทัพไทย ขอขอบคุณรัฐบาลกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังส่วนหน้าของกองทัพกัมพูชา ที่ได้ร่วมกันเจรจาและช่วยคลี่คลายสถานการณ์ไปในทางที่ดี เป็นไปตามหลักการที่ยึดสันติเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย”
ต้องขอบคุณทำไม….?
“กองทัพบก” ประกาศชัด “เขมรป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ผลประโยชน์ของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดนที่ไม่อาจยอมรับได้”!
ที่ยอมถอยวันนี้ ภูมิธรรมเชื่อหรือว่า นี่คือน้ำใส-ใจจริงของเขมร กี่ร้อย-กี่พันครั้งมาแล้ว ตั้งแต่สมัย “สุโขทัย-อยุธยา” ยันสมัย “รัตนโกสินทร์”
เขมรก็คือ “งูเห่า” ส่วนไทย รักจะเป็น “ชาวนา” ตลอดกาล!
เดี๋ยวมันก็ฉกเราอีก เชื่อเหอะ เนี่ย…พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และรมว.กลาโหมเขมร เขาบอกแล้ว
“นี่เป็นเพียงการ “ปรับกำลังพล” ไม่ใช่การถอย การยอมแพ้”
“ทหารกัมพูชาในแนวหน้ายังคงปักหลักอยู่ภายในพื้นที่ ซึ่งอยู่ภายในขอบเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา เพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ”
เห็นมั้ย เพียงถอยจากที่ล้ำเข้ามาในแดนไทย แต่กลับไปตรึงกำลังตามแนวในแดนของเขาในสภาพ “พร้อมรุกล้ำ” กระทั่ง “พร้อมทำศึก” ด้วยเหี้ยนกระหือรือกับอาวุธที่ได้ใหม่
ฝ่ายกองทัพมองขาด จึงตีตราประทับไว้เลย…เขมรนี่แหละคือ “ภัยความมั่นคงของประเทศ”!
ภูมิธรรมไปพินอบพิเทาพูดจากับเขมรมากี่รอบๆ เขมรไม่เคยให้ราคา ยันหน้าหงายกลับมาทุกรอบ
ที่เขมรยอมครั้งนี้ มิใช่เพราะจริงใจใฝ่สันติที่ต้องไปขอบคง-ขอบคุณ หากแต่ถูกมาตรการ “ขนาดเบา” จากทหารไทยสยบ จึงยอม (ชั่วคราว)
ถ้าจะขอบคุณ ต้องขอบคุณกองทัพไทย-ทหารไทย ขอบคุณประชาชนคนไทยที่หวงแหนแผ่นดิน ทำหน้าที่เป็นหน่วยส่งกำลังบำรุง
ตอนนี้ สินค้าคงขาดตลาดแล้วมั้ง เห็นกว้านซื้อกันส่งไปแนวหน้าเป็นสิบ-เป็นร้อยคันรถบรรทุก!
ถ้าภูมิธรรมเข้าใจว่า เขมรเจอมาตรการปิดด่าน-ตัดเน็ต-ตัดไฟ แล้วจะเลิกราแค่นี้ ปัญหาชายแดนจะไม่เกิดอีกละก็
ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมซะเถอะ!
อยู่ไปมีแต่จะทำให้ประเทศไทยขายขี้หน้า ว่ากันตรงๆ ยังห่างชั้นกับ “พล.อ.เตีย เซ็ยฮา” รองนายกฯ และรมว.กลาโหมเขมร เขาหลายขุม!
นี่…ดูชั้นเชิงรัฐมนตรีกลาโหมเขมรเขาไว้ ว่าเขายักเงี่ยงทางเชิงกลได้แพรวพราวขนาดไหน ผ่านโพสต์แถลงการณ์ของเขาในนามกระทรวงกลาโหมว่า
“กระทรวงกลาโหมกัมพูชา”
กระทรวงกลาโหมเป็นเกียรติที่จะแจ้งข่าวต่อสาธารณชนและสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์บริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย ดังต่อไปนี้
๑.ไม่มีการถอนทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ ที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา
และที่กองทัพกัมพูชายึดครองมาเป็นเวลานาน
๒.การเตรียมกำลังทั้งหมดของกองทัพกัมพูชา รวมถึงการประจำการ การส่งกำลัง การปรับเปลี่ยน และการระดมกำลัง
อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และมีจุดประสงค์เพื่อเตรียมพร้อมในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเท่านั้น
๓ กองทัพกัมพูชาสนับสนุนความพยายามในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
แต่ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนจากการพยายามรุกรานใดๆ
๔.กองทัพกัมพูชาพร้อมที่จะเข้ามาร่วมสนับสนุนกลไกการเจรจาเขตแดนกับไทย โดย เฉพาะคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อสานต่อการทำงานรังวัดเขตแดนและปักปันเขตแดนที่เหลือระหว่าง ๒ ประเทศ
นอกเหนือจากพื้นที่ที่กัมพูชาจะส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พิจารณา
………………………………………..
เห็นมั้ย ๑๔ มิถุนา.ที่จะไปเจรจา JBC กันที่พนมเปญ ก็แค่ได้คุยด้วยลีลาเปี่ยมเล่ห์ สุดท้าย ก็ไม่มีบทสรุปเป็นเนื้อเป็นหนัง
เพราะเขาบอกแล้ว เขายังทึกทักว่า ปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย ที่สุรินทร์ พื้นที่ช่องบก อุบลราชธานี เป็นของเขา
และเขาจะไปฟ้อง “ศาลโลก” เอาให้ได้ เหมือนปราสาทพระวิหาร
นี่เห็น ฮุนเซน ส่งลูกชาย “นายกฯ ฮุน มาเน็ต” เดินทางไปหาลูกพี่เก่า “ฝรั่งเศส” แล้ว หนีไม่พ้นให้ช่วยเรื่องข้อมูลไปศาลโลกนั่นแหละ!
“ฮุนเซน” ยังคอมเมนต์ท้ายแถลงการณ์กลาโหมด้วยว่า
“โปรดเข้าใจว่าการปรับกำลังทหารนั้นไม่ใช่การถอนทหารออกจากดินแดนของตนเอง
แต่เป็นการปรับกำลังทหารในดินแดนของตนเอง การปรับกำลังทหารก็เหมือนกับการนอนบนเตียง
ตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าเราอยู่บนที่นอน แต่ตอนนี้ เรายกหัวขึ้นเพื่อจะนอนใหม่ ดินแดนของเรา ก็ยังคงเป็นดินแดนของเรา”
มีคนเข้าไปโพสต์ถามว่า……
“นั่นหมายถึงการถอนทหารออกจากดินแดนที่เราอ้างสิทธิไว้ในตอนแรกใช่หรือไม่ ดูเหมือนว่าคำว่า “การส่งต่อกำลังไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม” ไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจนัก”
ฮุนเซนตอบว่า “ขอให้เข้าใจคำว่าการปรับกำลัง แตกต่างจากการถอนทหาร”
ฮุนเซนยังตอบคำถามเรื่องการยื่นฟ้องศาลโลก โดยยืนยันว่า “การฟ้องคดีต่อ ICJ ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
แล้วดูลีลารัฐมนตรีต่างประเทศของเขมรเขาบ้าง “นายปรัก สุคน” ทางเขมรคงรู้แล้วหละว่า ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ฟ้องไปข้างเดียว ก็แห้งเหี่ยวหัวโต
นายปรัก สุคน จึงส่งจดหมายถึง “นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.ต่างประเทศไทย ปะเหลาะให้ไทยยอมเป็นคู่กรณีไปศาลโลกด้วย
“ขอเรียกร้องอย่างนอบน้อมให้รัฐบาลไทยพิจารณาร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาในการส่งข้อพิพาทเรื่องพรมแดนสามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พิจารณาตัดสิน”
มัน “ด้าน” สมเขมรจริงๆ!
ปัญหาชายแดนไทย-เขมร “ไม่จบ” นอกจากไม่จบแล้ว ยังเป็นบทเริ่มต้นไปสู่ความรุนแรงด้วยซ้ำ
คิดหยาบๆ ถ้าเขมรฟ้องศาลโลกฝ่ายเดียว สมมติศาลโลกก็ตัดสินข้างเดียวเป็นคุณกับเขมร
แล้วเขมรจะมาเอา ๓ ปราสาท ที่สุรินทร์ และพื้นที่ช่องบก ที่อุบลฯ
ไทยหรือจะยอม!?
นอกจากไม่ยอมแล้ว บางทีจะทวง “ประสาทพระวิหาร” คืนจากเขมรซะด้วยซ้ำ
อย่าลืมนะว่า ในปี ๒๕๐๕ หลังศาลโลกตัดสิน “ดร.ถนัด คอมันตร์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทย มีหนังสือไปถึง “นายอูถั่น” เลขาธิการสหประชาชาติ
ประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก!
อ้างว่า คำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต
เอาเหอะ เขมรเล่นได้ เดี๋ยวไทยก็จะเล่นให้ดูบ้าง ร่างกายอยากปะทะมากนักใช่มั้ย ถึงกร่าง “ออกลูกนักเลง” เต็มตัว
อย่านึกว่ามี “ไส้ศึก” อยู่ในกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วจะช่วยอะไรได้นะ กฎอัยการศึกและมาตรการ “ปิดด่าน-ตัดเน็ต-ตัดไฟ” กองทัพคงตรึงไว้อีกนาน
“ตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายในภายหลัง”
กองทัพใช่ว่าเรียนแต่ตำราพิชัยสงคราม สุภาษิต “สุนทรภู่” เขาก็เรียน!
เปลว สีเงิน
๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘
