เปลว สีเงิน
ขอบคุณ “สองพ่อลูก” เขมรนะ
ที่ช่วยเป็นตัว “เช็กเรตติ้ง” รัฐบาล “สองพ่อลูก” ไทย ว่าตกต่ำถึงขั้นชาวบ้านออกปาก
“มาทางไหน รีบไสหัวไปทางนั้น” ไวๆ เลย!
ในขณะที่เรตติ้ง “กองทัพ” พุ่งกระฉูด ถึงขั้น “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” หนึ่งในขบวนการส้มสามนิ้ว ที่เคยถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” ถึงกับสิ้นสงสัย แถมโพสต์ชม
“กมธ.ทหาร ยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ทำได้อย่างเหมาะสมแล้ว
มีความเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ
โดยที่ยังเปิดทางในการเจรจาด้วยสันติวิธี ไม่ได้มีท่าทีที่ประสงค์จะรบ แต่ก็พร้อมรบอย่างไม่หวาดหวั่น…..ฯลฯ……
ผมเชื่อว่า ในที่สุด ถ้าจำเป็นต้องรบ ด้วยความเข้มแข็งของกองทัพ เราสามารถรบชนะได้แน่ๆ
แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้น…..
เราจำเป็นต้องใช้สันติวิธีตามหลักสากล เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอย่างถึงที่สุดเสียก่อน เพื่อความชอบธรรมในการใช้กำลัง ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ”
สส.วิโรจน์พูดแบบคนมีวุฒิภาวะ มียุทธศาสตร์การศึก ไม่ใช่พูดด้วย “อคติ-ฝังใจเกลียดทหาร” เหมือนตอนปลุกม็อบส้มซ่า!
ก็ต้องขอบคุณ “สองพ่อลูก” เขมร อีกนั่นแหละ การห้าวเป้งของท่านกับไทย ช่วยพิสูจน์เลือดในตัวสส.วิโรจน์ โดยไม่ต้องใช้มีดกรีด ก็รู้ว่าสส.วิโรจน์ “เลือดสีอะไร?”
กับคนไทยทั้งประเทศก็เช่นกัน…..
ยามว่าง ก็รับงานนักการเมืองบ้านใหญ่แบ่งฝ่ายเล่น “กีฬาสี” ตีกันเอง เป็นการหาลำไพ่ไปในตัว
แต่พอมีใครมาแหยมกับบ้านเมืองไทย จากตีกันพลัน “สลายสี” กลับมา “รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ฟาดฟันมันให้บรรลัยไปทุกที
คนไทยน่ะ ยามดี เขมรขออะไร ไทยประเคนให้ทุกอย่าง เซซังมา ก็ให้อาศัย ไม่เคยสำนึกบุญคุณข้าวแดง-แกงร้อน ไทยก็ไม่ว่า
แม้เนรคุณ “ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า” ไทยก็ไม่ถือสา เพราะรู้ว่า นั่นคือ “สันดาน” ของเผ่าพันธุ์
หมู หมา กา ไก่ เรายังให้กินได้ แล้วทำไมกับมนุษย์ด้วยกันเราจะแบ่งปันให้ไม่ได้
ดีซะอีก แบบนั้น จะเป็นทั้งตัวทดสอบและตัวเสริม “ตบะบารมี” ไทยเราให้แข็งกล้ายิ่งๆ ขึ้น!
กับคนไทย เท่าที่ผมสังเกตมาตลอด ใครแหยมอะไรก็แหยมได้
แต่กับเรื่อง “แผ่นดินไทย” แม้ตารางนิ้วเดียว ใครแหยม…มึงตาย!
มันก็แปลกนะ “เขมร-ของขึ้น” แว้งกัดไทยทีไร จะเป็นช่วงวิกฤตของทักษิณทุกครั้ง
ตอนทักษิณตกเก้าอี้ ปี๔๙ ไปชักไย “แดงเผามือง” อยู่นอกประเทศ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ เรื่อยมา
“ฮุนเซน” เป็นทั้งกองหนุนทั้งแนวร่วมและแนวกร่างกับไทยตลอด
ทั้งยื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนประมาณ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร จนต้องขึ้นศาลโลก
นั่นก็เป็นช่วง “ระบอบทักษิณ” เป็นรัฐบาล จากรัฐบาลสมัคร ต่อด้วยรัฐบาลสมชาย รัฐบาลอภิสิทธิ์คั่นอยู่ช่วง แล้วก็เป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์
มาตอนนี้ รัฐบาลระบอบทักษิณอีกเหมือนกัน จะว่าไป ตัวทักษิณเองนั่นแหละ “สั่งการนายกฯ” โดยตรงด้วยซ้ำ
แต่ด้วยถึงรอบ “กรรมวางบิล” ที่ทักษิณต้องชดใช้ ตกอยู่ในภาวะวิกฤต “ทางกฎหมาย” ประเด็นป่วยทิพย์ชั้น ๑๔ มีเดิมพันอาจต้องกลับเข้าคุก
แล้ว “ฮุนเซน” ก็มาเป็นตัวช่วยอีกครั้ง สร้างสถานการณ์ชวนปะทะด้วยการล้ำแดนบริเวณช่องบก อุบลราชธานี ทั้งพ่อ-ทั้งลูก โพสต์เหิมหาวชวนรบ
จีนให้อาวุธใหม่มาหลายขนาน คงคัน อยาก “ลองของ” กับไทยประมาณนั้น และใช้ลูกไม้เดิม จะนำข้อพิพาทเรื่องชายแดนไปฟ้องศาลโลก
ก็เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องพ่อคุณที่กรุงเฮกฝ่ายเดียวไปเลย ไทยไม่ไปด้วยหรอก
เพราะไทยไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ โน่นแล้ว คือหลังจากจบ “คดีปราสาทพระวิหาร” ตอนปี ๒๕๐๒ ไทยก็บอกศาลาศาลโลกไปเลย
ต้องเข้าใจกันไว้ด้วย……..
การรับอำนาจศาลโลก ที่เรียกศาล ICJ นั้น เขากำหนดให้ประเทศต่างๆ แสดงเจตนารับคราวละ ๑๐ ปี
ตอนปี ๒๕๐๒ ที่เขมรฟ้อง ไทยยังอยู่ในรอบ ๑๐ ปี ที่ยอมรับอำนาจศาลโลก จบจากคดีนั้น ก็ไม่ยอมรับต่ออีกเลย จนทุกวันนี้
ดังนั้น เขมร อยากฟ้อง เชิญตามสบาย
แม้ “กฎบัตรสหประชาชาติ” ระบุว่า “สมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลก”
แต่มีเงื่อนไขว่า “ต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสอง”
หมายถึง “ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอม” ที่จะนำคดีใด-คดีหนึ่ง เข้าสู่ศาลโลก จึงจะพิจารณาคดีได้
กรณีนี้ “สองพ่อลูก” เขมร ถือไพ่โง่ แล้วยังโชว์เก๋า ขู่จะฟ้องศาลโลก ต้องบอกว่า สะเร้อ…เสร่อ สมเขมร!
ที่ต้องไปศาลโลกครั้งที่แล้วเรื่องพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เมื่อปี ๕๔ นั้น เป็นการฟ้องคดีสืบเนื่องจากปี ๒๕๐๒ ซึ่งยังผูกพันเราอยู่ จำเป็นต้องไป
แต่เรื่องพิพาทชายแดนที่สองพ่อลูกเขมรขู่จะฟ้องนี้ เป็นคดีใหม่ วัยรุ่นใต้สะพานลอยบอกว่า “มึงอย่ามายุ่งกะกู”!
คิดแล้วก็แปลกดี…..
“สองพ่อลูกเขมร” กับ “สองพ่อลูกไทย” รักใคร่ ผูกพัน-ผูกผลประโยชน์จนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นดองกันอีกตะหาก
ทั้งนายกฯ ตัวพ่อและนายกฯ ตัวลูก ก็บอก “ติดต่อพูดคุยกันตลอด” แต่ทำไมสองพ่อลูกเขมรถึงโพสต์โชว์ห้าว
ส่วนฝ่ายสองพ่อลูกไทย กลับพับเพียบ พนมมือแต้ ไทยกลายเป็น “ลูกไล่” ของเขมร จนชาวบ้านเขาด่ากันพรึม
มึงไม่อาย แต่กูอาย (โว้ย)!
คนไทยนั้น ถือภาษิตอยู่อย่าง “ฆ่าได้ หยามไม่ได้”
สองพ่อลูกเขมรโพสต์ข่มขู่เชิงหยามไทยตลอด ไปทางไหน มีชาวบ้านตั้งแต่ระดับ “หอคอยงาช้าง” ยัน “หอระฆังวัด” โกรธมาก
และว่า “เรามีรัฐบาลไว้ทำไม?”
ก็มีไว้ให้เขมรเอาตีนลูบหน้า กับมีไว้เพื่อเป้าหมาย “กาสิโน คอมเพล็กซ์” และ “พนันออนไลน์” นั่นไง!
เมื่อวาน (๔ มิ.ย.๖๘) ได้ฤกษ์รัฐบาลออกแถลงการณ์ฉบับ “แมวเหมียว” ว่าด้วย “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา”
มีให้อ่านเกลื่อนไปหรอก ขอหยิบสาระหลักมาให้ดูซักตอน
“……..ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี
บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543
และข้อมูลหลักฐานต่างๆรวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม
และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ้ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกันเช่น
ครับ….ก็รัดกุมดี ตีกรอบเจรจาบนพื้นฐานกฎบัตร-กฎหมายตามที่กล่าว โดยไม่มีศาลโลก ซึ่งไทยไม่ยอมรับอำนาจอยู่แล้ว
ในแถลงการณ์ต่อมา บอกว่า…
– JBC(การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม)ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี
ขณะนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น(ในวาระที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ)ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา”
“นายฮุน มาเนต” นายกฯ เขมร โพสต์เฟซเมื่อ ๑ มิ.ย.เรื่องประชุม JBC เขาบอกว่า
ให้นำเอากรณีพิพาทเขตแดนบริเวณช่องบก (สามเหลี่ยมมรกต) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย ขึ้นฟ้องศาลโลก บรรจุเข้าวาระประชุมของ JBC ด้วย
ตรงนี้เป็น “เนื้องอก” นอกกติกา…..
เพราะตามข้อตกลงที่ “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ.พูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา มีเห็นตรงกันแค่ ๓ ประเด็นคือ
-การถอยกำลังออกจากพื้นที่จุดปะทะ
-ใช้กลไก JBC ร่วมแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน เรื่องสนธิสัญญา
-ปฎิบัติตาม MOU 43 ที่จะระมัดระวังดูแลกำลังพลพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ คือการปะทะกันเกิดขึ้นอีก
เอาเหอะ ถึงเขมรลากเรื่องนี้เข้าที่ประชุม JBC เพื่อจะไปฟ้องศาลโลก-ศาลเพียงตา ที่ไหน ก็เชิญพี่มะเน็ดเอาตามที่ชอบ
เพียงแต่ฝ่ายไทยต้องแจ้งต่อที่ประชุมและให้บันทึกไว้ในรายงานการประชุมด้วยละกัน ว่า
“ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลโลกในทุกกรณี”
เท่านี้…จบ!
ดูไป-ดูมา ผมว่า ๑๒-๑๓-๑๔ มิ0ย.เป็น “๓ วันอันตราย” เกี่ยวพันชะตาดี-ชะตาร้ายของทักษิณทั้งนั้น
-๑๒ มิ.ย.แพทยสภาประชุม ว่าจะเห็นชอบมติเดิม คือลงโทษ ๓ แพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทักษิณ
หรือจะเห็นด้วยกับการยับยั้งมติแพทยสภาของ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” ในฐานะสภานายกพิเศษ?
คณะกรรมการแพทยสภาทั้งหมด ๗๐ คน ถ้าเห็นชอบมติเดิม คือลงโทษ ๓ แพทย์
ต้องได้เสียงโหวตจำนวน ๒ ใน ๓ คือเท่ากับ ๔๗ เสียงของคณะกรรมการจำนวน ๗๐ คน
ถ้าเสียงโหวตน้อยกว่านี้ แสดงว่าฝ่ายวีโตคือนายสมศักดิ์ชนะ ๓ แพทย์ไม่ถูกลงโทษ
และนั่นอาจมีผลทางจิตวิทยาไปถึงคดีวันที่ ๑๓ มิ.ย.!
-๑๓ มิ.ย.คดีทักษิณป่วยชั้น ๑๔ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ท่านเห็นว่า “อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก”
จึงนัดพร้อมหรือนัดไต่สวน ในวันที่ ๑๓ มิ.ย.ให้ ป.ป.ช.-โจทก์ ทักษิณ-จำเลย มาแจ้งต่อศาลว่า “มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?”
สำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, อธิบดีกรมราชทัณฑ์, นายแพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลด้วย
-๑๔ มิ.ย. ที่กัมพูชา มีการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม=JBC ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 43
หารือเรื่องการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี
เห็นมั้ย…๑๒-๑๓-๑๔ มิ.ย.เป็น “นัดหยุดโลก” ที่ไม่น่าพลาด เพราะมันเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ของทักษิณและชายแดนไทยตามนัยซ่อนเร้นของสองพ่อลูกเขมร!?
ผมก็พยายามย่อยเรื่องเฉพาะส่วน “ควรทราบ” สู่กันฟัง ไม่อยากวิพากษ์-วิจารณ์ท่าทีของรัฐบาลไทยต่อปัญหานี้ซักเท่าไหร่
ก็รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่…..
ทนได้ก็ทนกันไป ทนไม่ได้ ก็ต้องทน เพราะประชาธิปไตยคนตาบอดไม่กลัวเสือ มันก็แบบนี้แหละ
“รัฐบาล-นายกฯ” วันนี้ เป็นแค่ “เจว็ด” หมายถึงผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำ แต่บ่มิไก๊
ประชาชนวันนี้ ถ่ายความเชื่อมั่นจากรัฐบาลไปอยู่ที่ “ทหาร-กองทัพ”
กองทัพ ฟังรัฐบาล ฟังรัฐมนตรีกลาโหม แต่ทำตามภารกิจและหน้าที่ของทหาร
ทหาร คือรั้วประเทศ หน้าไหน “แหกรั้ว” หน้านั้นมันต้อง “แหก” ไปก่อน ฉะนั้น พวกเรา-ประชาชนไม่ต้องหวั่นไหวกับเสียงหมาเห่าริมรั้ว
พูดกันตรงๆ เขมรน่ะ ไม่น่ากลัวหรอก
“ไส้ศึกเขมร” ในบ้านเราตะหาก ที่น่ากลัว-น่ารังเกียจ
แล้วเรื่องนี้จะลงเอยยังไง มีคนถามยังกะผมเป็นผู้หยั่งรู้ ก็เลยบอกเขาไปว่า
ประเทศชาติน่ะ “ขาดรัฐบาล” ไม่ได้หรอก
แต่รัฐบาล “ขาดนายกฯ” อย่างอุ๊งอิ๊งได้ แถมจะเป็น “บุญใหญ่” ของประเทศซะด้วยซ้ำ!
เปลว สีเงิน
๕ มิถุนายน ๒๕๖๘
