31 พฤษภาคม 2568 – เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เป็นวันที่ 4
บรรยากาศช่วงเช้าเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยเฉพาะบริเวณประตูหน้าอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของคณะรัฐมนตรี ปรากฏว่า ไม่มีรัฐมนตรีคนใดจากพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย หรือกล้าธรรม ปรากฏตัว ยกเว้นเพียง น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม เพียงคนเดียวที่เดินผ่านประตูดังกล่าว
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 30 พฤษภาคม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับเนชั่นทีวีว่า “กระทรวงมหาดไทยควรกลับมาอยู่ในมือเพื่อไทย” ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าท่าทีของรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาล อาจเป็นการ หลีกเลี่ยงสื่อ เพื่อรอดูความชัดเจนของกระแสการเมืองภายใน
ขณะที่ในห้องประชุม นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายเกี่ยวกับงบจัดการปัญหาที่ดิน โดยระบุว่า กรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ ตั้งงบรวม 692 ล้านบาท แต่กลับนำไปใช้แก้ปัญหาที่ดินทำกินจริงเพียง 34% ส่วนอีก 66% ใช้ไปกับกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
นายเลาฟั้งระบุว่า การแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนควรยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก แยกสิทธิ์ตามลักษณะการครอบครอง ไม่ใช่เหมารวมให้อยู่ภายใต้โครงการ คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ทั้งหมด พร้อมเสนอให้รัฐจัดงบให้ตรงจุด เช่น จัดทำบัญชีรายชื่อและแผนที่แนวเขตที่ชัดเจนรายบุคคลและชุมชน เพื่อสร้างความโปร่งใส
เขายังชี้ว่า ยังมีพื้นที่ปฏิรูปที่ดินค้างอยู่ 5.5 ล้านไร่ แบ่งเป็นเขต ส.ป.ก., นิคมสร้างตนเอง และนิคมสหกรณ์ แต่รัฐบาลกลับไม่มีนโยบายสานต่ออย่างแท้จริง โดยงบ ส.ป.ก. มีเพียง 16 ล้านบาท ขณะที่อีกสองหน่วยงานไม่ได้ตั้งงบเลย
“รัฐบาลนี้ไม่มีความจริงใจจะเดินหน้าปฏิรูปที่ดิน กลับดึงโครงการเก่าไปเข้า คทช. ทั้งที่ควรจัดสรรให้ถูกกฎหมายเดิมให้เสร็จ ไม่ใช่ทำให้ทุกอย่างพังไปหมด” นายเลาฟั้ง กล่าว