เปลว สีเงิน
“ทักษิณ” นี่ เป็นตัวนำโชคนะ
แต่นำ “โชคร้าย” มาสู่บ้านเมือง มากกว่า “โชคดี”!
ก็เห็นมั้ยล่ะ ตั้งแต่กลับเข้ามาเหมือน “ห่าลงเมือง” เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ทั้งเหนือ-อีสาน-ใต้ ร้อยแปดปัญหาประเด-ประดัง
ส่งลูกสาวขึ้นเป็นนายกฯ
ตัวเองเชิดอยู่หลังฉาก มีแต่ชักรอกปลาเค็มแขวนบนขื่อให้ชาวบ้านแหงนมองแล้วกินข้าวเปล่ามา ๒ ปีเต็ม ไม่ปรากฏว่ามีสัญญาไหนที่ทำได้จริงซักอย่าง
ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แต่ไทยภายใต้การนำของนายกฯ อุ๊งอิ๊งยังงมโข่งจมภวังค์ “กาสิโน” กับเงินแจก เหมือนหมาหลงเนื้อติดกระดูก
ทั้งที่รู้ ตอนนี้ “การคลัง” แหกถึงตูด…………
เพราะตั้งแต่บริหารมา นอกจากรายได้จากรีดเงินภาษี ก็ไม่ปรากฏว่าหารายได้เข้าประเทศเป็นกอบ-เป็นกำ มีแต่ผลาญเป็นกอบ-เป็นกำ
ขืนปล่อยไปแบบนี้ อาจต้องเอาข้าวเน่าค้างโกดังมาจ่ายแทนเงินเดือนข้าราชการแน่!
๒ ปี มีแต่โม้รายวัน ชาวบ้านจะอดตาย การค้า-การขายจะล่มจม กูไม่สน งานรากฐานเพื่ออนาคตชาติที่ก้าวหน้า กูก็ไม่ทำ
กูทำอยู่เรื่องเดียว “ตั้งบ่อนกาสิโน” และพนันออนไลน์
อีกเรื่องที่ทำ “ฉีกรัฐธรรมนูญ” ฉบับปราบโกง “ตั้ง ส.ส.ร.เขียนใหม่” เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับเอื้อโกง!
“รัฐบาล-รัฐสภา” ตั้งแต่นายกฯ รัฐมนตรี สส.-สว.กำลังจะพากันตายหมู่ ตามมาตรา ๑๑๔ ก็ยังไม่สำนึก เพราะหั่นงบประมาณส่วนที่เขาห้ามตัด ก็ดันตัดเอาไปเป็น “เงินแจกหาเสียง” นั่นแหละ
จะตายทั้งพ่อ-ทั้งลูก ไม่มีใครว่า
แต่ทั้งพ่อ-ทั้งลูกทำให้ประชาชนตายทั้งประเทศนี่ซี ที่ต้องว่า-ต้องห่วง
ตัวพ่อคุยเหลือเกิน เรื่องกำแพงภาษี ไม่เป็นไร ทรัมป์เพื่อนกัน บินไปคุยได้
เรื่องสันติภาพในเมียนมา ไม่เป็นไร เดี๋ยว…เขากับอันวาร์จะประสานงาให้เรียบร้อย
เรื่องสันติสุขใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยว…เขากับอันวาร์ จะเจรจาสร้างสันติสุขให้
คนอะไร (วะ) เก่งฉิบ!
แล้วเป็นไง ตั้งแต่มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ลอยเรือไปดีลลับกับนายอันวาร์ ทั้งเชิญมาดินเนอร์ เจรจากันที่โรงแรมลูกสาวกลางกรุง
ยังไม่ต้องพูดถึงสันติภาพในเมียนมาหรอก
แค่ “สันติสุข” ใน ๓ จังหวัดใต้ ตั้งแต่ล่มหัว-จมท้ายกับนายอันวาร์ ปรากฏว่า ๓ จังหวัดใต้ “สันติสุข” ฉิบหายวายป่วงรายวัน?
๑๗ ปี ที่ไปเป็นกระสือลอยไส้อยู่นอกประเทศ ๓ จังหวัดใต้อยู่กันสงบ จะมีเหตุบ้าง แค่เปรี้ยงปร้างแก้เหงา
แต่ใช่ว่า “จงใจ-ร้ายแรง” ส่อถึงขั้นก่อการเพื่อแบ่งแยก-ปกครอง อย่างที่รัฐมนตรีทวีโยนหินถามทางว่า ๓ จังหวัดให้ปกครองตัวเองเหมือนอุยกูร์ที่ซินเจียงดีมั้ย?
แต่พอทักษิณกลับมา แบกตำแหน่งที่ปรึกษาประธานอาเซียนไปเป็นพระยาเหยียบเมือง นราธิวาส-ยะลา-ปัตตานี เท่านั้นแหละ
๓ จังหวัดใต้ กลายเป็นแดนมิคสัญญีไปทันที!
ผมอยากให้อ่านนี่กันหน่อย เมื่อวาน (๗ พ.ค.๖๘) “นายซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี” ผู้นำศาสนาอิสลาม นิกายชีอะห์แห่งประเทศไทย
ท่านโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “ตามร่องรอยทฤษฎีสมคบคิดที่ชายแดนใต้”!!!!
ท่านให้ข้อคิดเป็นรูปธรรม-นามธรรม “ลึกซึ้ง” น่าใคร่ครวญ
………………………………………….
Saiyidsulaiman Husaini
ตามร่องรอยทฤษฎีสมคบคิดที่ชายแดนใต้!!!!
คำขอที่ไม่ธรรมดา : เมื่อวาทกรรม “สันติภาพ” กลับมาอีกครั้ง พร้อมชื่อของทักษิณและเงาเครือข่ายตะวันตก
ช่วงนี้เราเห็น สส.รอมฎอน ปันจอร์ กับ พรรณิการ์ วานิช ออกมาเรียกร้องให้รีบตั้งโต๊ะเจรจากับ BRN
ท่ามกลางเหตุรุนแรงที่กระหน่ำใส่พลเรือนแบบไม่เลือกหน้า ทั้ง อุสตาซ พระ เณร เด็ก ผู้พิการ
ถ้ามองผิวเผินเหมือนแค่ห่วงสถานการณ์ แต่ถ้าดูให้ลึก มันไม่ใช่แค่นั้น-นี่อาจเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกมองในหลายมุมที่มีเงาของใครบางคนซ่อนอยู่
และชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็กลับมาโผล่อีกครั้งอย่างมีนัยสำคัญ
1.รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง กับ “ความเงียบที่มีราคา”
ตอนนี้รัฐบาลยังไม่แต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ หลังจากคนเก่าหมดวาระ
กระบวนการพูดคุยก็เลย “ว่างเปล่า” อยู่กลางอากาศ
ช่องว่างแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันเปิดทางให้เสียงจากฝั่งที่โปรตะวันตก-ทั้งฝั่ง NGO
และนักการเมืองบางกลุ่ม-เสนอ “สูตรเจรจาแบบใหม่” ที่ไทยอาจคุมเกมไม่ถนัดเหมือนเดิม
ข้อเสนอที่เอ่ยชื่อทักษิณว่าเหมาะจะนั่งหัวโต๊ะเจรจา ไม่ใช่หลุดปากเฉยๆ แต่มันเหมือน “หยั่งเชิง” เพื่อดูว่าจะมีเสียงตอบรับจากฝ่ายไหนบ้าง
อย่าลืมว่า ทักษิณคือคนที่เคยใช้มาตรการความมั่นคงเข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่ในอีกมุม เขาก็เป็นคนเปิดประตูให้เวทีเจรจาแบบ Track II เริ่มทำงาน ผ่านองค์กรอย่าง HD และ Geneva Call
เพราะงั้นถ้าจะบอกว่าเขา “รู้ช่องทางคุยกับฝรั่ง” ก็คงไม่ผิดนัก แล้วการผลักเขากลับเข้าสู่เวทีใต้โต๊ะแบบนี้ อาจเป็น “ทางลัด” ที่จะมีบทบาทพิเศษในประเทศ
ฝ่ายที่ผลักแนวคิดนี้ก็คือ พรรคประชาชน กับคณะก้าวหน้า สองกลุ่มนี้ ยืนอยู่ในฝั่งที่เปิดรับแนวคิดตะวันตกเต็มตัว-ทั้ง soft power, non-violence,
และโต๊ะเจรจาแบบไร้กรอบอำนาจรัฐ เขาไม่ได้แค่เรียกร้องให้เจรจาเฉยๆ
แต่กำลัง “กำหนดกรอบเจรจา” ใหม่ ที่เปิดทางให้เครือข่ายต่างประเทศมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
2.เมื่อ “ความรุนแรง” กลายเป็นเครื่องมือเปิดโต๊ะ?
ที่น่าคิดคือ พรรณิการ์พูดว่า “BRN เคยควบคุมสถานการณ์ได้ เมื่อมีโต๊ะเจรจา”
คำพูดแบบนี้มีนัยลึกมาก มันเหมือนจะบอกว่า ความรุนแรงที่ปะทุขึ้น… เป็น “สัญญาณ” ให้รัฐกลับไปเจรจา
แล้วถ้ารัฐยอมกลับโต๊ะเพราะเหตุแบบนี้ มันก็เท่ากับยอมให้ “ความรุนแรง” เป็นแต้มต่อ เป็นเงื่อนไข
ตรรกะแบบนี้อันตรายมาก-เพราะผู้บริสุทธิ์จะกลายเป็นเบี้ยในเกมการเมืองที่เราไม่รู้ว่าใครกำหนด
และเบื้องหลังทั้งหมดนี้… มี “ตะวันตก” คุมจังหวะ? Geneva Call, HD Centre และ NGO ใหญ่ๆ จากยุโรป มีบทบาทในโต๊ะมานานแล้ว
พวกเขาไม่ได้แค่ช่วยสื่อสาร แต่ “ตั้งกรอบเจรจา” ด้วยมุมมองของเขาเอง
ถ้ารัฐไทยเงียบ หรือปล่อยให้ความเคลื่อนไหวแบบนี้เดินต่อไปเรื่อยๆ สุดท้าย…เราอาจไม่ใช่คนออกแบบโต๊ะเจรจานี้อีกต่อไป
สรุปที่ต้องคิดต่อ
–ความเคลื่อนไหวประเด็นนี้ ไม่ได้มาเพราะความห่วงใยล้วนๆ แต่มันอาจเป็น “จังหวะรีเซตโต๊ะ” ที่ให้ฝ่ายที่มีแนวทางไม่สอดคล้องกับรัฐไทยเข้ามามีบทบาท
–จากมุมมองของบางฝ่าย ทักษิณอาจถูกมองว่ากำลังถูกเสนอให้เป็น “figure of compromise”(บุคคลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้) ระหว่างกลุ่มติดอาวุธกับตะวันตก ซึ่งเปิดทางให้กลับคืนเวทีนโยบายอย่างแยบยล
–การใช้ความรุนแรงเพื่อเรียกร้องการเจรจา…ไม่ใช่แค่ตรรกะย้อนแย้ง แต่มันคือ “จริยธรรมที่ลื่นไหล” ซึ่งควรถูกตั้งคำถาม
พูดง่ายๆ คือ วันนี้บอกว่า “การใช้ความรุนแรงกับพลเรือนเป็นสิ่งเลวร้าย”
แต่พออีกฝ่ายใช้แล้วบอกว่า “เพื่อเรียกร้องสันติภาพ” ก็กลับมองว่า พอเข้าใจได้
แบบนี้ไม่ใช่จริยธรรมที่เที่ยงตรง แต่คือ “จริยธรรมที่เปลี่ยนตามบริบททางการเมือง”-ซึ่งอันตรายมาก
เพราะมันทำให้ การกระทำที่ผิด กลายเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ ถ้า “เป้าหมายดูดีพอ”
………………………………………
มาคุยข่าวที่กำลังเขย่ากันอยู่ซักหน่อย วันนี้ (๘ พ.ค.) แพทยสภามีการประชุมตามวาระ แต่เห็นพูด “ดักหน้า-ดักหลัง” กัน
วันนี้ อาจมีการนำ “ผลการตรวจสอบ” ว่าทักษิณป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ เสนอต่อที่ประชุมด้วย!
ถ้ามีผลออกมาอย่างที่คาดกันจริง บอกได้คำเดียว….
“ไอ้เสือ….เผ่นเถอะ”!
ขืนอยู่เขมือบเหยื่อตาบอด ถึงวันที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง” นัดพร้อม ๑๓ มิถุนา. ถ้าผลออกมาไม่ตรงตามที่คาดละก็
เผ่นไม่ทันนะ นี่เพราะรักหรอกจึงบอกให้!
เผลอๆ ก่อนถึงวันที่ ๑๓ มิถุนา. “คณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.” เรื่องชั้น ๑๔ ถ้ามีผลออกมาด้วยละก็ ซวยกุลุดม้อเลยทีนี้
เพราะวันที่ ๑๓ มิ.ย.ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน ก็จะเป็น “๓ ประสาน” มาบรรจบพอดีกัน
ทั้งศาล ทั้งผลสอบแพทยสภา ทั้งผลสอบ ป.ป.ช.!
แต่ถ้าพรุ่งนี้ ยังไม่มีผลสอบเข้าที่ประชุมแพทยสภา การประชุมครั้งต่อไปจะเป็นวันที่ ๑๒ มิถุนา. รอบนี้ “ไม่น่าพลาด”
เพราะศาลนัดพร้อม ๑๓ มิ.ย.แต่แพทยสภามีผลสอบออกมาวันที่ ๑๒ มิ.ย.ก็ยังพอมีน้ำหนักให้ทันลุ้น
บ้านเมืองตอนนี้ ไม่ต้องทำอะไรกันละ นุงนังอยู่กับเรื่อง “ปลวกแทะประเทศ”
เมื่อทั้งรัฐบาล ทั้งตัวนายกฯ “หมดความน่าเชื่อถือ” ก็เท่ากับ “หมดเครดิต” ที่จะไปเจรจา-ต่อรองกับใครๆ ในเวทีโลก กระทั่งเวทีไทย
ตอนนี้ เท่าที่สังเกต ข้าราชการเริ่ม “เฉื่อยงาน” รับคำสั่ง แต่ไม่รับปฏิบัติ
เพราะพลาดพลั้งคนติดคุกคือ “ข้าราชการ” ส่วนคนสั่ง หอบลูก-หอบผัว ไปนั่งกระดิกตีนดู “ยิกเท้าโหละซัว” ที่บางแสนสบาย!
เปลว สีเงิน
๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘
