ผักกาดหอม
รอดูกันครับ…
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งเปิดไต่สวนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ จะมีการเรียกเอกสาร หลักฐานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
เพื่อพิสูจน์ว่าได้บังคับโทษจำคุก “ทักษิณ” เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล หรือไม่ อย่างไร
กระนั้นก็ตามกรณีนักโทษชายชั้น ๑๔ หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือตัว “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นเอง
กรณีนี้นอกจากเรื่องตัวบทกฎหมายแล้ว พฤติกรรมของ “ทักษิณ” และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับห้องวีไอพีชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจล้วนมองข้ามมิได้
เพราะมีพิรุธมากมาย!
สำหรับนักการเมืองแล้วการบริหารภาพพจน์เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นคือประตูสู่คะแนนนิยม
อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาโดยตลอด หาก “ทักษิณ” ป่วยจริง ทำไมไม่เปิดหลักฐานให้ชัดเจน ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะปล่อยให้สังคมครหาว่า “ป่วยทิพย์”
นับตั้งแต่วันแรกๆ ที่ “ทักษิณ” ถูกย้ายตัวจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยเหตุผลเป็นผู้ป่วยวิกฤต ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ทำไมคนในครอบครัวชินวัตร ถึงไม่แสดงหลักฐานออกมา
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
กลับเลือกที่จะปล่อยให้เกิดความอึมครึมถูกตั้งคำถามว่าไม่ได้ป่วยจริง
ในทางการเมืองการตัดสินใจเช่นนี้ถือว่าโง่
แทนที่จะใช้ประโยชน์จากอาการป่วย เพื่อจบเรื่อง
กลับยอมถูกสังคมก่นด่า ขุดโคตรตระกูลโกง
เว้นเสียแต่ว่าไม่มีหลักฐาน เพราะมิได้ป่วยจริง!
สุดท้ายก็มีเรื่องให้ประหลาดใจ “ทักษิณ” กลับบริหารภาพพจน์หลังออกจากโรงพยาบาลตำรวจ ด้วยการจงใจใส่เฝือกคอ และเฝือกดามแขน
เพื่อให้เห็นว่าป่วยจริง
แต่เกิดเหตุไม่สมจริงขึ้นเมื่อผู้ป่วยนอนติดเตียงร่วมครึ่งปี กลับสามารถเดินตัวปลิวในบ้านจันทร์ส่องหล้า
จากผู้ป่วยวิกฤตหนักห่างหมอไม่ได้เพราะเป็นตายเท่ากัน ซึ่งอาการนี้นับว่าร้ายแรงมาก สามารถฟื้นตัวได้ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล
ช่างน่าเหลือเชื่อ
ไม่ “ทักษิณ” ก็ “หมอ” มีความสามารถเกินมนุษย์
การไต่สวนในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โฟกัสไปที่การ “บังคับโทษจำคุก”
“ทักษิณ” เองคงนึกไม่ถึงว่า สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
จากที่คิดว่าตัวเองคุมเกมได้หมด เพราะกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นหน่วยงานราชการ อยู่ในข่ายสามารถสั่งการได้
เมื่อเรื่องชั้น ๑๔ มาอยู่ในมือศาลแบบไม่คาดคิด วันนี้ “ทักษิณ” คงนั่งไม่ติดแล้ว
ทำให้นึกไปถึงหนังสือที่คณะสมาชิกแพทยสภาจำนวนหนึ่ง ยื่นถึง ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานอนุกรรมการสอบสวนคดีจริยธรรม คณะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และคณะแพทย์ในสังกัดกรมราชทัณฑ์
ตั้งข้อสังเกตการป่วยของ “ทักษิณ” ที่มีความผิดปกติในทางการแพทย์
โดยเฉพาะการผ่าตัดที่ออกข่าวครึกโครม ถูกระบุว่าเป็นการผ่าตัดเจาะรูที่ไหล่ และเจตนาให้ถ่ายภาพ ด้วยการเข็นเตียง “ทักษิณ” ลงจากตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่ง โดยไม่มีการปกปิดแต่อย่างใด
คณะแพทย์เขาสงสัย ย้อนไปดูหนังสือที่ว่าอีกที จะได้ไม่ลืมกัน และอาจเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ต้องไต่สวน
“…กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจากอุบัติเหตุร้ายแรง หรือความผิดปกติของข้อไหล่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้เท่านั้น ที่เป็นข้อบ่งชี้ให้ทำการผ่าตัดข้อไหล่ในผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี หากผู้ป่วยรายนั้นมีวิกฤตทางอายุรกรรมร่วมด้วย ซึ่งความผิดปกติของข้อไหล่เช่นนั้น สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย, Plain X-ray และ CT Scan ซึ่งให้ข้อมูลได้ละเอียดเพียงพอในเวลาอันสั้น มิใช่ MRI ที่กินเวลานานกว่ามาก
การเจ็บป่วยอื่นใดของข้อไหล่ ซึ่งไม่ใช่กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจาก Major Injury หรือทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ Brachial Plexus และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้ในผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี ขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในวิกฤตทางอายุรกรรม เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็นต้องทำผ่าตัดแบบฉุกเฉิน สามารถรักษาตามอาการแบบประคับประคอง เช่น ใช้ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบพวก NSAID, ยาคลายกล้ามเนื้อ, การทำกายภาพบำบัดประคบร้อน เย็น นวด หรือคลื่นเสียง จนกว่าจะพ้นภาวะวิกฤตทางอายุรกรรมแล้วเท่านั้น
การทำผ่าตัดทางกล้องที่ข้อไหล่เป็นหัตถการทางศัลยกรรมสำหรับเฉพาะโรคที่รอได้ จะทำต่อเมื่อผู้ป่วยนั้นไม่มีภาวะวิกฤตแล้วเท่านั้น เพราะต้องใช้การวางยาสลบ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างสำคัญโดยไม่จำเป็นต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนและปอดในผู้ป่วยผู้สูงอายุมากกว่า ๗๐ ปี หากมีสภาพวิกฤตทางอายุรกรรม
การตรวจข้อไหล่ด้วย MRI ถือเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยวิกฤต เพราะใช้เวลานาน และสนามแม่เหล็กกำลังสูงมากในห้อง MRI ขัดขวางหรือทำให้เกิดอันตรายได้จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นเหล็ก เช่น เข็มฉีดยา มีด กรรไกร ไฟฉาย Laryngoscope (เครื่องสอดใส่ท่อช่วยหายใจ) ดังนั้นแล้วหากนายทักษิณป่วยวิกฤตจริง ขอให้ท่านและแพทยสภากล่าวหาและดำเนินการสอบสวนศัลยแพทย์สาขากระดูกและข้อ รังสีแพทย์ และวิสัญญีแพทย์ ผู้มีส่วนร่วมในการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยรายนี้ ให้ครบถ้วนด้วยทุกสาขา เพราะแพทย์เหล่านั้นได้สั่งการตรวจและรักษาโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสภาพวิกฤต ทั้งที่โรคของข้อไหล่เป็นภาวะที่รอได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นรีบด่วน
ในทางตรงกันข้าม หากนายทักษิณ ชินวัตร มิได้ป่วยสภาพวิกฤตจริงแล้วไซร้ (ซึ่งยืนยันโดยพฤติการณ์ที่ได้รับการตรวจ MRI และการผ่าตัดส่องกล้องข้อไหล่ภายใต้การวางยาสลบ) แพทย์ผู้ใดที่โฆษณาหรือได้ทำเอกสารสำแดงความเท็จรับรองว่าผู้ป่วยมีสภาพวิกฤต ย่อมประพฤติมิชอบ ฝ่าฝืนมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรมอย่างร้ายแรง ใช้วิชาชีพแพทย์โดยทุจริตเพื่อช่วยให้ผู้ต้องโทษหลีกเลี่ยงการรับโทษจำคุกในทัณฑสถาน
อนึ่ง ปรากฏข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ว่า ผู้สูงอายุที่อยู่ในโรงพยาบาลเพียงสัปดาห์เดียว ไม่ว่าจะต้องนอนอยู่ในเตียงตลอด หรือจำกัดการเดินในห้องพักผู้ป่วย ย่อมจะเกิดภาวะสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ คือภาวะของมวลกล้ามเนื้อลดลง กล้ามเนื้อลีบลง เช่นสภาพของพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ป่วยเป็นปอดอักเสบเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสองสัปดาห์ หลังจากนั้นต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
แต่ในผู้ป่วยรายนี้ ปรากฏต่อสาธารณะว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ป่วยมิได้มีสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ดังนั้นแล้ว จึงเป็นข้อพิรุธว่า ผู้ป่วยมิได้ป่วยด้วยสภาพวิกฤตตั้งแต่ต้น และมิได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยวิกฤตใน รพ.ตำรวจ มิได้มีการจำกัดการเคลื่อนที่และการเดินบนชั้น ๑๔ และเป็นหลักฐานที่แสดงว่า คณะแพทย์ฯ ได้ทำหนังสือเอกสารลงบันทึกการตรวจรักษาในเวชระเบียน หรือออกใบรับรอง หรือสำแดงอาการป่วยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นเท็จว่าผู้ป่วยป่วยแบบวิกฤต ขณะรักษาอยู่ ณ ชั้น ๑๔
หากนายทักษิณป่วยวิกฤตจริง แต่มีการทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันสภาพมวลกล้ามเนื้อลีบ ย่อมจะต้องมีบันทึกของแพทย์ฟื้นฟู Rehabilitation Medicine, นักกายภาพบำบัด Physiotherapist และแพทย์สาขาผู้สูงอายุ Geriatrician อีกทั้งยังต้องมีการตรวจรักษาภายหลังจากออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ดังนั้น จึงขอให้ท่านตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว…”
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวครับ
โดยเฉพาะความจริงทางการแพทย์.
