ทุกวันนี้การหางานไม่ใช่แค่หาสิ่งที่เราชอบหรือถนัดอีกต่อไป แต่หลายคนเริ่มมองไกลไปถึงเรื่องของการเงินในอนาคตกันมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าคุณคิดแค่ทำงานไปวันๆ แบบไม่มีแผนนั้น บางทีก็รู้ตัวอีกทีตอนเงินไม่พอใช้หรือเก็บแทบไม่ได้เลย จริงๆ แล้ว การเลือกงานที่ใช่ ไม่ได้แปลว่าแค่เงินเดือนเยอะ แต่ต้องคิดให้รอบด้านว่างานนี้จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินในอนาคตได้ไหม เช่น อยากมีบ้าน อยากมีเงินเกษียณเร็ว หรืออยากมีอิสระทางการเงินในอีก 10-20 ปีข้างหน้า นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องเลือกงานให้ตอบโจทย์กับแผนชีวิตเราให้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าวันนี้เราจะมาคุยกันแบบเข้าใจง่ายๆ ว่าถ้าเราอยากมีชีวิตที่มั่นคงทางการเงิน ควรดูอะไรบ้างตอนเลือกงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเดือน โอกาสเติบโต สวัสดิการ หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์ที่งานนั้นจะมอบให้ เรามาดูเคล็ดลับดีๆ ในการหางานกันดีกว่าค่
1. เริ่มจากรู้จักเป้าหมายการเงินของตัวเองให้ชัด
ก่อนที่คุณจะเริ่มมองหางานที่ใช่ เราควรรู้ก่อนว่าเป้าหมายทางการเงินของตัวเองคืออะไรกันนะ เพราะถ้าไม่รู้ว่าอยากไปถึงไหน ก็ยากที่จะหาทางไปให้ถึงเป้าหมายซึ่งเป้าหมายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอยากมีเงินเก็บ บางคนอยากปลดหนี้ บางคนอยากมีรายได้แบบไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต การรู้เป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกงานที่ตอบโจทย์ได้ง่ายขึ้น ถ้าต้องการรายได้มั่นคงเพื่อผ่อนบ้าน เราอาจมองหางานที่มีเงินเดือนแน่นอน กับสวัสดิการดีๆ มากกว่างานที่ผันผวนนอกจากเรื่องเงินแล้ว เป้าหมายยังรวมถึงไลฟ์สไตล์ด้วย ถ้าคุณอยากมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น หรืออยากทำงานแบบอิสระ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกงานเช่นกัน เพื่อนๆ ลองใช้เวลาคิดให้ชัดว่าเราต้องการอะไรจากชีวิตการเงินและการทำงาน และเราต้องอย่าลืมที่จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อที่จะได้ไปถึงจุดนั้นได้อย่างง่ายดายขึ้น
2. มองให้ลึกกว่าแค่ “เงินเดือน” — คิดเป็นภาพรวมรายได้ทั้งหมด
เวลาพูดถึงรายได้ หลายคนมักจะโฟกัสแค่ตัวเลขเงินเดือนที่ได้รับทุกเดือนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของภาพรวมรายได้ทั้งหมดเท่านั้นเอง ถ้าเรามองแค่จุดนี้ อาจพลาดโอกาสดีๆ หรือเลือกงานที่ไม่คุ้มกับเป้าหมายระยะยาวของเราสิ่งที่ควรมองควบคู่ไปกับเงินเดือนคือรายได้รวม ซึ่งรวมทั้งรายได้ประจำ รายได้เสริมจากงานนั้น และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่แปลงเป็นมูลค่าได้ ไม่ว่าจะเป็น โบนัสหรือคอมมิชชั่น ซึ่งแน่นอนว่าบางงานเงินเดือนอาจดูน้อย แต่ถ้าได้โบนัสทุกไตรมาส หรือค่าคอมฯ จากยอดขาย ก็ทำให้รายได้ต่อปีสูงขึ้นกว่าที่คิด ถ้างานที่คุณเลือกมีโบนัสค่าคอมหรือรายได้อื่นๆ ที่หักกับค่าใช้จ่ายแล้วดีสุดๆ ต้องรีบไป รับสมัครงาน กันอย่างเร็วเลยค่ะ ก่อนที่คุณจะพลาดโอกาสดีๆ ไป
3. พิจารณาความสามารถในการเติบโตในสายอาชีพนั้น ๆ
เมื่อเราคิดจะเลือกงานสักหนึ่งงาน หลายคนอาจมองแค่ “ตอนนี้” ว่าได้เงินเท่าไหร่ ทำอะไรบ้าง แต่ถ้าอยากให้การทำงานคุ้มค่าในระยะยาว ต้องไม่ลืมมองไปให้ไกลกว่านั้นอีกขั้น นั่นคือโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพนั้นๆ เพื่อนๆ ลองคิดกันดูว่าถ้าเราทำงานไป 5 ปี แล้วรายได้และตำแหน่งยังเท่าเดิม แบบนี้อาจไม่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินหรือชีวิตที่เราวางไว้ก็ได้นะ การเติบโตไม่ได้แปลว่าแค่เลื่อนตำแหน่งแต่รวมถึงการพัฒนาทักษะ รายได้ที่เพิ่มขึ้น และโอกาสใหม่ๆ ที่เปิดกว้างขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกงานดีๆ เราต้องเลือกจากโอกาสในการเติบโตอีกด้วย ซึ่งอาชีพที่เติบโตอย่างรวดเร็วก็จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเรื่อยๆ
4. ดูเรื่องความมั่นคงของอุตสาหกรรมและบริษัท
ไม่ว่าเราจะมีทักษะดีแค่ไหน หรือจะเลือกงานที่ตรงใจแค่ไหน ถ้างานนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่เริ่มซบเซา หรือบริษัทที่ไม่มีความมั่นคง ซึ่งมันจะทำให้เรานั้นจะต้องหาโอกาสเริ่มใหม่อยู่บ่อยๆ ก็มีสูงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องความมั่นคงจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลย แล้วทำไมเราถึงต้องดูความมั่นคงของอุตสาหกรรมด้วยละ นั้นก็เพราะว่าบางสายงานอาจเคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ปัจจุบันถูกเทคโนโลยีแทนที่หรือผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น งานในวงการสื่อสิ่งพิมพ์, คอลเซ็นเตอร์บางประเภท, หรืออุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้า-ส่งออกที่ผันผวนมาก ซึ่งถ้าเราเข้าไปอยู่ในสายงานเหล่านี้ โดยไม่วางแผนเผื่อ อาจเสี่ยงต่อการตกงานหรือรายได้ลดลงในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกความมั่นคงของบริษัทก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการเลือกงานเลยค่ะ
5. ถามตัวเองว่างานนี้มี “ทางเลือก” หรือ “ติดกับดัก”
ถ้าหากว่าคุณนั้นได้มีการถามตัวเองว่างานนี้มีทางเลือกหรือติดกับดักนั้น วันนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกับงานทางเลือกและงานที่ติดกับดักกันค่ะซึ่งแน่นอนว่าการเลือกงานที่มีทางเลือกนั้นต้องเป็นงานที่คุณนั้นมีโอกาสที่จะเติบโต งานที่สามารถต่อยอดในชีวิตประจำวันได้ หรือมีช่องทางในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของคุณภายในองค์กรได้อย่างง่ายดาย ส่วนคำว่าติดกับดักนั้น อธิบายง่ายๆ เลยก็คืองานที่คุณไม่สามารถต่อยอดได้และไม่มีโอกาสเติบโตในการทำงาน ซึ่งแน่นอนว่างานเหล่านี้ที่ทำให้คุณนั้นติดกับดัก จะทำให้คุณไม่มีโอกาสในการพัฒนาและฝึกฝนทักษะความสามารถของตนเองได้เลยซึ่งเราเลี่ยงได้ก็ควรที่จะเลี่ยงอย่าคิดว่างานนั้นสบายเกินไปจนทำให้คุณไม่มีความสามารถและออกไปทำงานอย่างอื่นไม่ได้
6. เลือกงานที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านการเงินหรือธุรกิจ
ในโลกยุคใหม่ที่การแข่งขันทางอาชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ ทักษะด้านการเงินและธุรกิจกลายเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ความสามารถเฉพาะทางในสายงานต่างๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักออกแบบ โปรแกรมเมอร์ นักเขียน หรือนักวิจัย ความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการเงิน การวางแผนธุรกิจ หรือกลยุทธ์การตลาดจะช่วยให้คุณวางแผนการทำงาน การลงทุน และเป้าหมายชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกงานไม่ใช่แค่การหาตำแหน่งที่ว่าง แต่เป็นการวางแผนอนาคต ให้ตัวเองงานที่ดีควรช่วยให้คุณเติบโตทั้งด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว โดยเฉพาะถ้ามันช่วยเพิ่มทักษะที่เป็นต้นทุนชีวิต เช่น ด้านการเงินและธุรกิจ ก็จะยิ่งทำให้คุณมีอิสระทางความคิดและความมั่นคงทางการเงินมากขึ้นในระยะยาว
7. อย่าลืมสมดุลระหว่างชีวิตและงาน (Work-Life Balance) 
ในโลกที่ทุกอย่างเดินเร็วขึ้น การทำงานหนักกลายเป็นเรื่องธรรมดา หลายคนทุ่มเทเวลา แรงกาย และแรงใจทั้งหมดไปกับงาน โดยลืมไปว่า สุขภาพ ชีวิตครอบครัว ความสัมพันธ์ และเวลาส่วนตัว ก็สำคัญไม่แพ้กัน นี่คือเหตุผลที่แนวคิดเรื่อง สมดุลระหว่างชีวิตและงาน (Work-Life Balance) จึงได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในการทำงานที่จะสามารถรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตและงานได้นั้นก็หนีไม่พ้นกับการบริหารเวลาที่เหมาะสมทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน ซึ่งแน่นอนว่างานที่ดีต่อสุขภาพจิตก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของสุขภาพ ถ้าคุณทำงานหนักจนไม่มีเวลาจัดการการเงินส่วนตัว ก็อาจไม่ใช่งานที่เหมาะกับเป้าหมายระยะยาว การทำงานหนักไม่ใช่ปัญหา แต่การไม่มีชีวิตนอกเหนือจากงานต่างหากที่เป็นปัญหา
การเลือกงานที่ดีไม่ใช่แค่เลือกงานที่จ่ายเยอะ แต่คือการเลือกงานที่ “พาเราไปถึงเป้าหมายการเงิน” ได้จริงในระยะยาว ลองใช้เคล็ดลับเหล่านี้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ แล้วคุณจะทำงานด้วยความมั่นใจและมีทิศทางทางการเงินที่ชัดเจนขึ้นแน่นอน
