เปลว สีเงิน
ยุคนี้ อะไรๆ ก็ต้องใช้ “เน็ต”
โทรทัศน์ผมก็ใช้เน็ต แต่ตอนนี้ “สัญญานไม่ค่อยดีเลย”!
แล้ว เออ…ท่านทราบข่าวนี้กันหรือยัง?
เมื่อวาน (๖ มี.ค.๖๘) ทักษิณ “จำเลยคดี ๑๑๒” ไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญา “ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร”
จะไปประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย ในวันที่ ๗ มีนา. อ้างเหตุ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ฯ ตั้งให้เขาเป็น “ที่ปรึกษาประธานอาเซียน”
ปรากฎว่า ศาลมีคำสั่ง “ยกคำร้อง” ขอเดินทางออกนอกประเทศของทักษิณ
ศาลบอก “ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร”
มีนา.ช่วงนี้ “ร้อน” และ “จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ”
ทักษิณไปเป็นพลเมืองชาติอื่นที่อากาศเย็นมาตั้ง ๑๗ ปี กลับมาสัมผัสกระไออ้าวอย่างนี้ น่าจะ “ร้อนรุ่ม” หน่อยนะ!!!
ก่อนหน้า เมื่อ ๓๑ มกรา.
ทักษิณเคยไปยื่นคำร้องศาล ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร วางหลักทรัพย์ค้ำประกัน ๕ ล้านบาท
ไปประชุมอาเซียนที่มาเลย์ฯ ในวันที่ ๒-๓ กุมภา.ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว “อนุญาต”
ต่อมา ๑๔ กุมภา.จำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ คนนี้ ไปยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรต่อศาลอาญาอีก
คราวนี้ไปประชุมอาเซียน ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ กุมภา.ที่บรูไน ศาลพิจารณาแล้ว “อนุญาต” เช่นกัน
แต่ ๑๘-๑๙ กุมภา.ที่ขอไปบรูไน นั้น
ทักษิณยื่นคำร้องขอเดินทางไปเวียดนาม และกัมพูชาด้วย แต่ศาล “ยกคำร้อง” ไม่อนุญาตให้ไป
โดยศาลให้เหตุผลว่า การเดินทางไปทั้งสองประเทศดังกล่าว เป็นการ “เชิญไปในนามส่วนตัว” ไม่ใช่ในนามรัฐบาล
และ ๖ มีนา.คือเมื่อวาน….
นับเป็นการขอเดินทาง “ออกนอกราชอาณาจักร” ของทักษิณ เป็นครั้งที่ ๓ เพื่อจะไปอินโดฯ
แต่ศาล “ไม่อนุญาต”
ก็ดีแล้วครับ…นาย นายกฯ “ลูกสาว” ไม่อยู่ พ่อนายกฯ ก็อยู่บัญชาการแทน
ภูมิธรรม “นายกฯ น้อย” ช่วงนี้ เป็นหนังหน้าไฟมาหลายเรื่อง สังเกตว่าชักจะ “แบตอ่อน” เริ่มเลอะเลือน
อย่างเมื่อวาน ไปนั่งหัวโต๊ะประชุมบอร์ด DSI ยื้อยุดเอาคดี “เลือกสว.” มาทำแทน กกต.ได้ครึ่งเดียว คือครึ่ง “ฟอกเงิน”
“ฟอกเงิน” ฟอกกะใคร ที่ไหน เรื่องอะไร ใคร?
ก็ยังไม่มีคำตอบ
เพราะเรื่อง “ฮั้ว-ไม่ฮั้วเลือกสว.” ยังไม่มีคดีเป็น “สารตั้งต้น” เลย แล้วจะว่ามีการฟอกเงิน
มี-ไม่มี “ไม่รู้…” แต่ว่า DSI “มโนล้ำ” คดีไปนิด!
ผมก็ห่วง “พ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดี DSI เห็นหน้าท่าน ก็รู้ว่า ท่านเป็นคนดี จิตใจงาม
เป็นข้าราชการประจำ ต้องอยู่อีกนาน ส่วนนักการเมือง “เดี๋ยวมันมา-เดี๋ยวมันก็ไป”
ถ้าท่านยอมให้นักการเมือง “ยืมมือใช้” ท่านต้องระวัง เขาถลกตูดไปแล้ว ตัวท่านนั่นแหละ ต้องรับผิดชอบ ในฐานะ “มือทำ”
สังเกตซี หลังประชุมบอร์ด รองฯ ภูมิธรรม กับ รมว.ทวี เรื่องเดียวกัน แต่แถลงตรงกันซะที่ไหน!?
รองฯภูมิธรรม แถลงว่า….
“ที่ประชุม กคพ.มีมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมากของที่ประชุม “ให้เป็นคดีพิเศษ” ตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง จำนวน ๑๑ เสียง
ไม่เห็นชอบ ๔ เสียง งดออกเสียง ๓ เสียง จากองค์ประชุม ๑๘ เสียง….”
ส่วน รมว.ยุติธรรม แถลงว่า…
“เป็นคดีพิเศษอัตโนมัติ ตามท้ายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ มาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง ซึ่งให้อำนาจ “อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ” ชี้ได้เลย”
เห็นมั้ย…รองฯ ภูมิธรรม อ้างเป็นมติบอร์ด DSI ให้เรื่อง “ฟอกเงิน” เป็นคดีพิเศษ
แต่พ.ต.อ.ทวี บอก เรื่อง “ฟอกเงิน” เป็นคดีพิเศษ โดยอัตโนมัติ “อธิบดี DSI ชี้ได้เลย”
เอาละ เรื่องกฎหมาย เหล่าท่าน “อ่านกฎหมายรู้-ดูกฎหมายเป็น” กันทุกคน ผมไม่ขอสะเออะไปมากว่านี้
อ่านบทความเรื่อง “น่าสงสาร..ดีเอสไอ” ที่อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” โพสต์ทันควัน ดีกว่า เห็นเขาหาอ่านกันควั่ก
……………………………….
“แก้วสรร อติโพธิ” ผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมายมหาชน
⦁ อำนาจใคร ที่ใช้รับคดีพิเศษ?
ถาม.กฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ กำหนดช่องทางให้คดีอาญาหนึ่งๆเข้าเป็นคดีพิเศษไว้อย่างไรครับ?
ตอบ.ตามมาตรา ๒๑ จะระบุไว้สองประตู
ประตูแรกคือ ๒๑(๑) รับไว้เพราะเป็นฐานความผิดที่กำหนดไว้ท้ายพรบ.และมีลักษณะควรแก่การสอบสวนพิเศษ เช่น คดีซับซ้อน คดีข้ามชาติ คดีเกิดขึ้นกว้างขวาง คดีส่งผลกระทบความมั่นคง ฯ
คดีพวกนี้ อธิบดี ดีเอสไอ เป็นผู้พิจารณาและสั่งรับคดี คณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.)ไม่มีอำนาจเกี่ยวข้อง
ได้แต่วางระเบียบในการคัดกรองคดีเท่านั้นว่าต้องมีลักษณะพิเศษอย่างไร
ตอบ.เป็นความผิดนอกบัญชี แต่ ๒๑(๒) ระบุว่า ดีเอสไอ ขอมติคณะกรรมการ “สองในสาม” ให้เป็นคดีพิเศษได้ เช่นเห็นว่า คดี “ฮั้ว สว.” มีความผิดฐานเป็นอั้งยี่ แต่ความผิดอั้งยี่นี้ ไม่มีในท้ายบัญชี
ก็เลยมาขอมติ “สองในสาม” ของ กคพ.ให้รับเป็นคดีพิเศษ
ถาม.แล้วในที่ประชุมวันที่ ๖ มีนาคม กคพ.มีมติรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่?
ตอบ.ชัดเจนว่าไม่มีมติ”สองในสาม”ให้รับเป็นคดีพิเศษครับ ไม่ทราบว่าเห็นควรไม่รับคำขอของ “ดีเอสไอ” แต่แรกเลย หรือรับแล้ว “ลงมติแล้ว” ได้เสียงไม่ถึง “สองในสาม” ผมก็ไม่ทราบ
ถาม.แต่ในที่สุดแล้ว ก็รับเป็นคดีพิเศษไม่ใช่หรือครับ ผมเห็นรองภูมิธรรมกับรมต.ทวี บอกว่า กคพ. มีมติเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาประชุมว่า “ดีเอสไอ” มีอำนาจรับได้อยู่แล้ว ตาม ๒๑(๑)
เพราะคดีนี้ มีความผิด “ฐานฟอกเงิน” อยู่ด้วยและความผิดฐานนี้ ก็มีระบุอยู่ในบัญชีท้ายพรบ.ด้วย มันหมายความว่าอย่างไรครับ?
ตอบ.หมายความว่า เรื่องนี้ กคพ.เกินกึ่งเห็นว่า “อธิบดี ดีเอสไอ ทำได้เองอยู่แล้ว” มาขอเราให้ใช้เสียงถึงสองในสามทำไม ให้เป็นปัญหา
ถาม.ตกลง เรื่องนี้รับเป็นคดีพิเศษด้วยอำนาจใคร?
ตอบ.คณะกรรมการมีอำนาจรับเป็นคดีพิเศษด้วย ม.๒๑(๒)เท่านั้น
การรับตามมาตรา ๒๑(๑)ในความผิดตามบัญชี นั้น คณะกรรมการ “ไม่มีอำนาจมีมติใดๆ”
มีเป็นแค่ความเห็น บอก “ดีเอสไอ” เท่านั้นว่า “เรื่องฟอกเงินนี่ คุณมีอำนาจอยู่แล้ว รับไปทำด้วยอำนาจคุณเองก็แล้วกัน”
ถาม.ถ้าทำไปแล้ว อธิบดีโดน ๑๕๗ คณะกรรมการก็ไม่โดนใช่ไหมครับ?
ตอบ.อาจโดนแค่สนับสนุนเท่านั้น
⦁ คดีนี้เป็นคดีพิเศษได้หรือไม่?
ถาม.ถ้าจะเอาอย่างนี้ คดีนี้ก็จะมีการสอบสวนสองสาย ขนานกันไป คือ “ดีเอสไอ” ทำคดีฟอกเงินและ “กกต.” ทำคดีซื้อสิทธิขายเสียง อย่างนั้นหรือ?
ตอบ.ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ การกระทำเดียวผิดได้หลายบทก็จริง แต่สอบหลายสาย ตัดสินหลายศาล ไม่ได้ ทุกฐานความผิด ต้องถูกรวมฟ้องเป็นคดีเดียวเท่านั้น กฎหมาย กกต.ก็ระบุไว้แล้วว่า….
“ถ้าใครรับคดีเลือกตั้งไว้ กกต.ก็สั่งให้ยุติแล้วส่งคดีมาให้ กกต.ทำ ก็ได้”
ถาม. “ดีเอสไอ” เขาเถียงได้ไหมครับว่า เขารับทำแต่คดีฟอกเงิน?
ตอบ.เถียงอย่างนั้นไม่ได้ กฎหมายดีเอสไอ ระบุไว้เองเลยว่า “ทุกฐานความผิดที่เกี่ยวกับความผิดท้ายบัญชีให้ถือเป็นคดีพิเศษด้วย”
การรับคดีข้อหาฟอกเงิน จึงเป็นการรับคดีซื้อสิทธิขายเสียงด้วยในตัว
ยิ่งไปกว่านั้น “ข้อหาฟอกเงิน” ในครั้งนี้ มันเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงินได้ มันต้องผ่านข้อหา “ซื้อสิทธิขายเสียง” ก่อนเท่านั้น
“ดีเอสไอ” ทำเรื่องฟอกเงินในคดีนี้เมื่อไหร่ ก็ต้องทำคดี “ซื้อสิทธิขายเสียง” ด้วยเสมอ
ทำแล้ว ก็ต้องฟ้อง “ซื้อสิทธิขายเสียง” ด้วย
เพราะกฎหมายดีเอสไอ บอกว่าให้ถือเป็นคดีพิเศษด้วย
ถาม.สรุปแล้ว เป็นการใช้ “อำนาจซ้อนอำนาจ” กกต.อย่างชัดเจนใช่มั้ยครับ?
ตอบ.ถูกต้องครับ มันเป็นเรื่องจะ “เอาให้ได้” ในฐานอั้งยี่ แต่เมื่อเสียงไม่ถึง “สองในสาม” ก็เลยให้ “ดีเอสไอ” ลุยเอง ในฐานฟอกเงิน
ซึ่งไม่ว่าจะความผิดฐานไหน มันก็ “ซ้อนอำนาจกกต.” จนทำไม่ได้อยู่ดี
ที่สำคัญ ต้องไปดูมาตรา ๗๗ ของกฎหมายเลือกตั้ง สว.ให้ดีๆ ว่า ที่เขาระบุให้การซื้อสิทธิขายเสียงผิดฐานฟอกเงินด้วยนั้น มาตรานี้ เขาบัญญัติชัดเจนนะครับ ว่า
“เมื่อปรากฏความผิดฐานซื้อสิทธิขายเสียงนี้ ก็ให้คณะกรรมการ กกต.มีอำนาจส่งเรื่องให้”คณะกรรมการ ปปง. ” ดำเนินคดีฟอกเงินต่อไป”
มันชัดเจนนะครับว่าข้อหานี้ มันต้องเริ่มด้วยกกต.แล้วส่งไป ปปง.เท่านั้น
ผมว่าใน “ดีเอสไอ” เขาคงเห็นมาตรา ๗๗ นี้ขวางทางอยู่เหมือนกัน ถึงเลี่ยงจะไปเอาผิดฐานอั้งยี่ด้วยอำนาจใหญ่ของคณะกรรมการ
แต่วันนี้ “บักหำน้อย” นี้ กลับถูกดีดกลับมาให้เป็น Home alone ลุยเองอีก
ถาม.อาจารย์ไม่เห็นช่องที่ “ดีเอสไอ” จะถือบัตรพิเศษสอดเข้ามาในงานนี้ได้เลยใช่มั้ยครับ?
ตอบ.น่าสงสารครับ ผมเห็นแต่ประตูคุกรำไรๆ รออยู่เท่านั้น.
…………………………..
ครับ….กฎหมายฉบับเดียวกัน แต่การเมืองใช้ “อำนาจ-งัดอำนาจ” เพื่อการเมือง แล้วเรื่องจะไปยุติที่ไหน?
ก็ต้องที่ “หน้าบัลลังก์”
กับ “พังที่การเมือง” นั่นแหละครับ!
เปลว สีเงิน
๗ มีนาคม ๒๕๖๘
