นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในการร่วมประชุม World Economic Forum Annual Meeting 2025 ประจำปี 2568 ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนเดินทางออกจาก เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตามเวลาท้องถิ่นประมาณ 18.00 นาฬิกา วันนี้ โดยคณะของนายกรัฐมนตรีจะถึงกรุงเทพมหานคร ในวันพรุ่งนี้ (เสาร์ที่ 25 มกราคม เวลาประมาณ 10.40 น.)
ในการให้สัมภาษณ์ ก่อนออกเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อเวลา 16.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นเมืองดาวอส นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ได้มาพร้อม “ทีมไทยแลนด์” ชุดใหญ่ ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี และรมว. ดีอี รอง นรม.และ รมว คลัง รมวเกษตรและสหกรณ์ รมต พาณิชย์ รมต. ต่างประเทศ ผู้แทนการค้าไทย เลขา BOI ซึ่งการประชุม เพียง 3 วันแต่ประกอบไปด้วยการพบหารือกับคณะนักธุรกิจ และผู้นำของแต่ละประเทศมากถึง กว่า 20 ภารกิจ
ทั้งนี้ประกอบด้วยการหารือกับ 11 บริษัทเอกชนชั้นนำระดับโลกได้แก่ DP World /Nestle / Coca Cola / Bayer AG/ Astra Zeneca /Salesforce/Google / Pepsi/ AWS/ Grab/ Amazon Web Services ซึ่งได้รับการตอบรับในการให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างดี ซึ่งเชื่อว่าหลายบริษัทที่เคยลงทุนในประเทศไทยอยู่ แล้วจะลงทุนเพิ่มมากขึ้น ส่วนบริษัทใหม่ๆ ก็ให้ความสนใจมากที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นในเร็ววันนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในระดับประเทศ ได้เข้าเยี่ยมคารวะผู้นำประเทศและหัวหน้ารัฐบาลถึง 4 ท่าน ได้แก่ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส นายกรัฐมนตรีประเทศอาร์เมเนีย นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐคอซอวอ และศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศศาสตราจารย์ เคล้าส์ ชวาป ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum (WEF) ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับนานาอารยะประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งระดับภูมิภาคและประเทศมากขึ้น
ขณะที่ กิจกรรมสำคัญตลอดการประชุม นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่มีโอกาสได้ร่วมงานสำคัญในการให้การต้อนรับอาทิ งานเลี้ยงรับรองของประธาน WEF และ ทีมไทยแลนด์ยังได้จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวัน Thailand Reception ที่นำเสนอ ในรูปแบบ ไทยสไตล์ และ อาหารไทยจนผู้ร่วมงานให้ความชื่นชม และสนใจในอาหารและวัฒนธรรมที่สวยงามของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไป ว่าสำหรับเรื่องสำคัญที่สุดอันถือเป็นประวัติศาสตร์ทางการค้าของไทย กับ ประเทศในสหภาพยุโรปที่ประเทศไทยได้ลงนามความตกลง FTA ไทย-EFTA / กับ 4 ประเทศเป็นครั้งแรก ทำให้เป็นโอกาสที่ดีของสินค้าไทย ที่จะเข้าไปจำหน่ายในประเทศแถบยุโรปมากขึ้น
สำหรับ เสาวนา Betazone “Not Losing Sight of Soft Power” และการร่วมกิจกรรม Country Strategy Dialogue (CSD) on Thailand / และ Thailand Networking Dinner Reception ก็ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศในยุโรป และยังได้แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม อันเป็นซอฟเพาเวอร์ ที่สำคัญของประเทศไทยที่จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสินค้าให้ชาวยุโรปได้รู้จักมากขึ้น
ส่วนการพบปะพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ กับผู้นำและบุคคลสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีมอนเตเนโกร นายกรัฐมนตรีสวีเดน นายกรัฐมนตรีภูฏาน และนาย Olivier Schwab บุตรชายของผู้ก่อตั้ง WEF นาง Melanie Brown หัวหน้าด้านวัฒนธรรมของ WEF อดีตนักร้องวงดนตรี Spice Girls ทำให้ประเทศไทย และ ต่างประเทศ ได้กระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การพบกับผู้บริหารภาคเอกชนไทยที่เดินทางมาร่วมประชุม อาทิ ผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ CP Bitkub ทำให้เห็นถึง แนวทางการลงทุน และ รับฟังทุกคำเสนอแนะของการลงทุน ของไทยในต่างประเทศ อีกด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่ามาประชุมครั้งนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมาก ที่ได้มีโอกาสสื่อสารถึง“โอกาสและศักยภาพ” ของประเทศไทย และสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยพร้อมเป็นหุ้นส่วน ของบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ด้านความมั่นคงด้านอาหาร รวมทั้ง รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี พัฒนาคน ปรับ กฏระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมอีกด้วย อีกทั้งยังได้โปรโมท “ Soft power” ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร ที่มาจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย จนกลายเป็นสินค้าและบริการที่มีมูลค่าในปัจจุบัน เช่น มวยไทย อาหารไทย ผ้าไทย เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะส่งเสริมให้เป็นเครื่องจักรใหม่ (engine force) ในการสร้างเม็ดเงินและนำรายได้เข้าสู่ประเทศ
“มาครั้งนี้ ทีมไทยแลนด์ได้ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทั่วโลกจับตามอง และยังเป็นการติดตามเทรนด์โลกยุคใหม่ และได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำและบุคคลสำคัญๆซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและเป้าหมายที่รัฐบาลกำลังทำ เช่น การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI การแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งเตรียมเด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทย ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกด้วย “นายกรัฐมนตรีกล่าว