สันต์ สะตอแมน
ปาราชิก..ขาดจากความเป็นภิกษุ แล้วไง?
ที่ถาม เพราะเห็นมาไม่รู้กี่โล้นต่อกี่โล้นที่สำนักพุทธศาสนาฯตรวจสอบพบความจริงว่า “เสพเมถุน” โทษก็คือ “ปาราชิก” ถูกจับเปลื้องสบง-จีวรพ้นจากความเป็นพระ
และแทบทุกราย ไม่เป็นระดับเจ้าอาวาส ก็รองเจ้าอาวาส หรือไม่ก็พระชั้นผู้ใหญ่ที่มียศถาบรรดาศักดิ์
ซึ่งพระระดับนี้แน่นอนว่า ต้องมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหาและเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน อันส่งผลให้มีเงินบุญไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
หลายราย ออกมาเป็นฆราวาสแล้ว ก็ใช้ชีวิตร่วมกับสังคมด้วยความสะดวกสบาย มีเมีย-มีบ้าน-มีรถ-มีเทือกสวนไร่นาจากเงินที่ญาติโยมอุปถัมภ์-ทำบุญ!
คนที่ไม่เกรงกลัวบาป ไม่เชื่อนรก-สวรรค์มีจริงจึงกล้าที่จะห่มผ้าเหลืองเพื่อเข้าไปทำมาหากินอยู่ภายในวัด เพราะหากกระทำผิดวินัยสงฆ์ไปบ้างก็มีโทษตามลำดับ..
ขนาดโทษสูงสุดก็แค่ถูกขับพ้นจากความเป็นพระ คือ “ปาราชิก” แต่ก็ไม่ได้ติดคุกแต่อย่างใด!
เหตุนี้..เราชาวพุทธจึงให้รู้สึกหดหู่ห่อเหี่ยวใจกับข่าวเจ้าอาวาสวัดนั้น-วัดนู้นแอบสมสู่กับสีกาอยู่แทบไม่เว้นว่าง และจะยังคงได้ยิน-ได้เห็นอยู่ต่อไป..
ตราบที่ยังไม่มีกฏหมาย “ตัดคอ” พระล่อสีกา!
ครับ..พูดเรื่องพระก็พลันให้นึกถึง “เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง” การ์ตูนยอดฮิตในจอทีวี. อยากจะยืมประโยคที่คุ้นหู-จดจำของเณรน้อย..
“จะรีบไปไหน จะรีบไหน..พักเดี๋ยวนึงสิคร๊าบ” มาถามรัฐบาลแพทองธารตอนนี้ที่กำลังขมีขมันเร่งรีบจะให้เกิดบ่อนกาสิโนขึ้นในประเทศไทยเสียเหลือเกิน!
พร้อมกันนั้นก็ได้อ่านข้อความที่ “มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน” โพสต์..”ไม่ชอบธรรม ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจ” เหตุผล 3 ไม่ … ที่คนไทยไม่เอากาสิโน
ผมใคร่ขออนุญาต คัดลอกเอาแต่เหตุผลข้อ 3.“ไม่ไว้ใจ” มาให้ผู้อ่านได้พิจารณา ซึ่งมีเนื้อหา-รายละเอียดดังนี้..
“ไม่รู้จะรีบไปไหน?”
ปฏิบัติการของฝ่ายการเมืองต่อภารกิจนี้ มีความรีบร้อน และรวบรัด พยายามจะผลักดันกฎหมายให้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ โดยเร็ว
ไม่มีกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนอย่างจริงจังและจริงใจ ไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ รวมถึงไม่มีการศึกษาผลกระทบทางสังคมอย่างถูกต้องชอบธรรม
“ไม่รู้ว่าเอื้อใคร?”
ในบัญชีแนบท้ายกฎหมายของรัฐบาลฉบับนี้ ได้ลดสเปกกิจการต่าง ๆ อันเป็นส่วนประกอบของสถานบันเทิงครบวงจรร่วมกับกาสิโน
เช่น โรงแรมไม่ต้อง 5 ดาว ห้างสรรพสินค้าไม่ต้องครบวงจร ศูนย์ประชุมฯไม่ต้องมี มีสระว่ายน้ำ สวนสนุก และร้านขายสินค้าOTOP เท่านั้นก็พอ
เหล่านี้น่าจะเป็นการเอื้อให้ผู้ลงทุนสามารถลดต้นทุนในส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกาสิโนได้
“ไม่รู้เป็นตู้เอทีเอ็มของนายใหญ่ … ?”
ในกฎหมายฉบับนี้จะมีการตั้ง “สำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร” ขึ้นมา ที่น่าสนใจคือ สำนักงานนี้จะมีรายได้มาจากหลายทาง
โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และอื่นๆ ซึ่งเป็นหลักพันล้านในแต่ละปี
โดยมีบทบัญญัติว่า “เงินและทรัพย์สินของสำนักงาน เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว เหลือเท่าใดให้สำนักงานนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน”
การเปิดช่องไว้เช่นนี้ อาจทำให้สำนักงานที่ตั้งใหม่นี้กลายเป็นช่องทางให้เกิดการนำเงินที่รัฐควรได้จากกิจการสถานบันเทิงครบวงจร มาใช้จ่ายเพื่อตอบสนองนโยบายของฝ่ายการเมืองได้
คล้ายๆ กับกรณีของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในสมัยหนึ่ง ที่รายได้จากการจำหน่าย “หวยบนดิน” ที่ไม่ได้นำส่งเข้าแผ่นดิน
กลายเป็นตู้เอทีเอ็มให้นายใหญ่กดนำมาใช้ดำเนินงานทางการเมืองได้อย่างสบายมือ”
อื้อหือ..มิน่าถึงได้รีบร้อนกันจัง!