ผักกาดหอม
คงต้องพูดกันอีกนานครับ…
เรื่องเกาะกูด
ที่รัฐบาลนั่งยัน นอนยันว่า เกาะกูด เป็นของไทย ส่วนกัมพูชาเอง ก็รับรู้ว่าเป็นของไทยมาตลอด มันก็จริงครับ
แต่สงสัยอย่างเดียว
รู้ว่าเป็นของไทย แล้วกัมพูชาลากเส้นเขตแดนผ่าเกาะกูดทำไม
เส้นที่ปรากฏใน MOU 44 เป็นการยืนยันว่า กัมพูชา ยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยอย่างนั้นหรือ
รัฐบาลไทยไม่สงสัยบ้างหรือว่าลึกๆ รัฐบาลกัมพูชาเตรียมการทำอะไร
หรือปล่อยไปงั้นๆ เพราะเชื่อจริงๆ ว่าชาตินี้ไม่มีทางที่เกาะกูดจะตกเป็นของกัมพูชา
ลองคิดเรื่องกัมพูชาตีเส้นผ่ากลางเกาะกูดให้เยอะๆ ครับ
แล้วลองตั้งคำถามในใจดูว่า เพราะอะไร?
อย่าให้ผลประโยชน์มันบังตา จนลืมเรื่องเขตแดนประเทศ
ไม่ใช่แบ่งปันผลประโยชน์ ๕๐/๕๐ ไปแล้ว ปรากฏในภายหลังว่าพื้นที่ทับซ้อน ๒๖,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ๗๐-๘๐% เป็นของไทย ใครจะรับผิดชอบ ที่ไปประเคนผลประโยชน์ให้กัมพูชาอย่างที่ไม่ควรจะได้
ตระกูลชินวัตร จะรับผิดชอบหรือ?
หนี้จำนำข้าวหลายแสนล้านยังทิ้งให้ประชาชนรับผิดชอบเลยครับ
ฉะนั้นการคัดค้าน หรือตั้งข้อสังเกต ไม่ใช่เรื่องคลั่งชาติ แต่เป็นการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตามปกติ
เมื่อฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคส้ม มันไม่ได้เรื่อง หน้าที่มันจึงตกมาที่ประชาชน
หนึ่งในประชาชนคือ “พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์” อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) เขียนข้อความให้แง่คิดเอาไว้ตรงประเด็นอย่างมาก
“…เรื่องเกาะกูด อย่าเผลอนะครับ”
เรื่องเกาะกูด ต้องดูให้รอบคอบครับ อย่าออกมาพูดว่าจะเสียการท่องเที่ยว หรือเป็นพวกคลั่งชาติ จึงขอยกเอาเรื่องเขาพระวิหารมาให้ดูก่อน แล้วค่อยเอาเรื่องเกาะกูดตามมาเพื่อให้เปรียบเทียบ ลองทบทวนกันครับ
๑.ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ โดยใช้หลักกฎหมายการยอมรับโดยปริยาย (Tacit Acceptance) เนื่องจากรัฐบาลสยามไม่โต้แย้งแผนที่ซึ่งนักภูมิศาสตร์ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นตามคำขอของรัฐบาลสยามเอง รวมถึงกรณีที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปเขาพระวิหารโดยมี ผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสมาต้อนรับ ก็ถูกนำมาอ้างประกอบว่าพระองค์ท่านยอมรับว่าเป็นพื้นที่ของฝรั่งเศสด้วย หลังจากนั้นกัมพูชาก็พยายามขยายพื้นที่โดยส่งชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างบ้านและวัด ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอีกด้วย โดยพวกเราก็ใช้การเจรจา แต่เขาก็ดื้อตาใส เข้ามายึดครองเลย ลองคิดดูเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ยังถูกกัมพูชานำมาอ้างไว้เป็นหลักฐานหมดทุกเรื่อง
๒.ปัจจุบัน รัฐบาลไทยเริ่มพูดถึงเรื่องการเจรจาทางเศรษฐกิจ เพื่อแบ่งผลประโยชน์คนละ ๕๐% ในพื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทย กัมพูชา ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีว่า เริ่มมาจากคุณทักษิณแน่นอน จึงถ่ายทอดมาเป็นนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย แซงหน้าทุกนโยบายและยังได้รับการยืนยันจากรัฐบาลชุดนี้อีกเป็นระยะๆ
๓.เมื่อดูเรื่องเขาพระวิหารแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงกลัวเรื่องการเสีย “เกาะกูด” กันมากมายขนาดนี้
มาดูลำดับการเคลื่อนไหวของกรณีเกาะกูดนี้ แบบสั้นที่สุด แล้วก็จะเข้าใจกันได้พอสมควรครับ
(๑) เมื่อ ๑ ก.ค. ๒๕๑๕ กัมพูชาได้ประกาศ พระราชกฤษฎีกากำหนดแผนที่ “เส้นเขตไหล่ทวีป” โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ ๗๓ มาประชิดเกาะกูดแล้วอ้อมตัวเกาะไปด้านล่าง แล้ววกกลับมาเป็นรูปตัว U กลับไปยังทิศตะวันตกของเกาะ จนล้ำเข้าไปในอ่าวไทย ที่กล้าทำแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะตอนนั้น กัมพูชากำลังอยู่ในสงครามแย่งชิงอำนาจของเขมร ๓ ฝ่าย จึงต้องหาเรื่องมาเอาใจคนกัมพูชา (ปัจจุบันเวลาใกล้การเลือกตั้งในกัมพูชาเมื่อไร รัฐบาลกัมพูชาก็จะหาเรื่องปลุกความรักชาติ ด้วยการด่าไทยทุกครั้งไป)
(๒) อีก ๒ เดือนต่อมา กัมพูชาก็ออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดแผนที่อีกฉบับหนึ่ง ลาก “เส้นอาณาเขตทางทะเล” ของกัมพูชา จากหลักเขตที่ ๗๓ ประชิดด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด เพิ่มมาอีก กฎหมายเหล่านี้ เป็นแผนที่กำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลที่ “ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของประเทศไทย” อย่างชัดเจน เพราะเป็นการออกกฎหมายฝ่ายเดียวโดยไม่ใช้หลักกฎหมายสากลฉบับใดมาอ้างอิงเลย
(๓) จากกฎหมายเถื่อนทางทะเลทั้ง ๒ ฉบับนี้เอง กัมพูชาจึงไม่ยอมให้การรับรอง อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (UNCLOS) ทั้งๆ ที่ทุกชาติในอาเชียนเค้ารับกันหมดแล้ว เพราะกลัวว่าจะเสียพื้นที่ทับซ้อนใกล้เกาะกูดไป
(๔) การเจรจาระหว่างไทย กับ กัมพูชา ตาม MOU 44 ที่เกิดขึ้นในยุคคุณทักษิณนั้น ตามลำดับการเจรจาแล้ว ควรจะเน้นเรื่องเขตพื้นที่ทางทะเลของแต่ละประเทศก่อน เพื่อให้รู้ว่าควรจะแบ่งผลประโยชน์กันแบบใด เพราะไทยใช้กฎหมายสากล พื้นที่ทับซ้อนนั้นจึงน่าจะอยู่ในเขตไทยหรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยเต็มๆ
แต่กัมพูชาใช้กฎหมายที่เขียนขึ้นตามใจตัวเอง อ้างว่ามีพื้นที่ทับซ้อนด้วย (เยอะเชียว) ซึ่งรัฐบาลไทยก็ดันไปออกตัวรับเลย แล้วบอกว่ามาแบ่ง “ผลประโยชน์” กันคนละ ๕๐% นะ
เอาว่าถ้าหยุดตรงนี้ก็พอทน แต่ถ้ากัมพูชาไปฟ้องศาลโลก จะเอาเกาะกูด
…ซึ่งอย่านึกว่าเป็นไปไม่ได้นะ มวยไทย สงกรานต์ ฯลฯ โดนมาหมดแล้ว.. โดยอ้างว่าได้มีข้อตกลงทำธุรกิจกับไทยแล้ว ถึงมาแบ่งกันคนละ ๕๐% ซึ่งไทยก็ไม่เห็นทักท้วงเส้นเขตแดนอะไรเลย ไทยจะทำอย่างไร ขึ้นศาลโลกก็อาจแพ้อีก เพราะอะไรก็รู้กันดี
นอกจากนั้น กัมพูชายังสามารถอ้างข้อตกลงเมื่อตอน คุณทักษิณเป็นนายกฯ ไปเยือนกัมพูชา (๑๘-๑๙ มิ.ย. ๔๔) แล้วไปทำ Joint Communique (ข้อ ๑๕) หรือแถลงการณ์ร่วมของผู้นำระหว่างไทยกับกัมพูชา สรุปได้ว่า ทั้งสองฝ่ายแสดงความพึงพอใจในความพยายามต่างๆ ซึ่งได้ดำเนินการร่วมกันมา และให้การรับรองบันทึกความเข้าใจระหว่าง กัมพูชากับไทย ว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้ง ๒ ประเทศอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีปทับซ้อนกัน.. เจ๊งลูกเดียว ซ้ำรอยเขาพระวิหารอีกครับ
๔.ลืมบอกไปครับ ว่าโดยหลักการแล้ว ทั้ง MOU และ Joint Communique ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เดี๋ยวจะหาว่าเขียนเอามัน ดังนั้นยกเลิกได้ครับ ไม่ถูกฟ้องหรอกครับ แต่อาจถูกนำไปอ้างเป็นเหตุผลแวดล้อมในศาลโลกได้ ดีกว่ากรณีกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสียอีกครับ
ก็ขอให้คนคิดเรื่องนี้ ถ้าคิดดีก็ขอให้เจริญก้าวหน้า แต่ถ้าคิดไม่ดีก็ขอให้เรื่องไม่ดีกลับไปที่ที่ตัวเองชอบนะครับ…”
ครับ…ความกังวลเรื่องเกาะกูดมันมีที่มาที่ไป ไม่ใช่จู่ๆประชาชนเกิดอาการหลอนคิดว่ากัมพูชาจะมาเอาเกาะกูดไป
รัฐบาลต้องปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ อย่ามองว่าการทักท้วงเป็นเรื่องคลั่งชาติ แต่ให้มองเป็นเสียงเตือนเพื่อความรอบคอบ
หากรัฐบาลมองข้าม แล้วสร้างความเสียหายให้ประเทศในภายหลัง
หนีไม่พ้นครับกับเสียงด่าไล่หลัง
รัฐบาลขายชาติ