ครม. รับหลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ปัญหาสัญชาติกว่า 4.8 แสนคน ลดขั้นตอนมอบสัญชาติ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่าที่ประชุม ครม. เห็นชอบกรอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งรวมแล้วมีราว 4.8 แสนคน

โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะใช้ทดแทนหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 เพื่อให้ได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) หรือสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว โดยสาระสำคัญในประเด็นนี้ คือการปรับหลักเกณฑ์ และการลดขั้นตอนการทางราชการ เช่น ผู้ยื่นสามารถรับรองตนเอง การลดขั้นตอนหรือยกเลิก

การพิจารณาผ่านคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการต่างๆ และการมอบอำนาจผู้ให้อนุญาตสัญชาติไทยและหนังสือรับรองใบถิ่นที่อยู่แยกกันระหว่างพื้นที่ กทม. และนอกเขต กทม. โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาอยู่ไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรของผู้อพยพมาอยู่ไทยเป็นเวลานาน นั้น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 – 2554 โดยนายจิรายุ ย้ำว่า กรอบหลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้นภาครัฐได้รับฟังความคิดเห็น และศึกษาประเด็นปัญหาอย่างรอบคอบ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีข้อดีคือ จะช่วยเสริมสร้าง

ความมั่นคงในประเทศ ช่วยเหลือให้พลเมืองไทยที่ตกสำรวจมีสิทธิเข้าถึงการรักษาพยาบาล ผู้ที่ได้รับสถานะก็จะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ สามารถเดินทางไปทำงาน ทำธุรกรรมทางการเงิน ได้รับโอกาสในชีวิตมากขึ้น เป็นการดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ปัญหากลุ่มคนไม่มีสัญชาติไทย

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติของกลุ่มคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย การสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 พบว่ามีกลุ่มคนไร้สัญชาติคงเหลืออยู่ทั้งสิ้น ประมาณ 4.8 แสนราย ประกอบด้วย ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน จำนวน 19 กลุ่ม (อาทิ บุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชนบนพื้นที่สูง ผู้ที่ตกหล่นจากการสำรวจประชากร) ซึ่งมีประมาณ 215,000 คน กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน

โดย ดร.นฤมล อรุโณทัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ (2018) ได้กล่าวถึงปัญหาคนที่ไม่มีสัญชาติ ในบทความ ‘ปัญหาคนไร้สัญชาติ ซับซ้อนแต่ไม่ไร้ความหวัง’ ว่าคนไร้สัญชาติจะไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานหลายอย่าง ปัจจุบันมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้สิทธิบางส่วน เช่น ในด้านการศึกษา มีมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2548 รัฐมีนโยบายว่าเด็กสามารถเข้าเรียนโดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐาน และมีการอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัว ให้ในระดับประถมศึกษาเท่ากับเด็กสัญชาติไทย ในด้านสาธารณสุขมีมติคณะรัฐมนตรีในปี 2553 และ 2558

ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการรักษาพยาบาลสำหรับคนที่มีปัญหาสถานะ แต่จำกัดเฉพาะผู้มีเลขประจำตัว 13 หลักแล้วเท่านั้น และยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งด้านสิทธิการศึกษาที่ในทางปฏิบัติ บางโรงเรียนก็ไม่มั่นใจไม่อยากรับเด็กกลุ่มนี้ ด้านการเดินทางออกนอกพื้นที่อำเภอ จังหวัด เพื่อการทำงานหรือเพื่อเรียนต่อ ถ้าไม่มีบัตรประชาชนก็จะถูกจำกัด ทำให้เสียโอกาสหลายด้าน ด้านการทำงาน มีนายจ้างน้อยคนที่จะจ้างคนที่ไม่มีบัตรประชาชน หรือเป็นจ้างการทำงานที่ต่ำต้อย งานสกปรกหรืออันตราย ทำให้โอกาสในชีวิตของพวกเขาน้อยลง

รัฐบาลไทยมีความพยายามในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาบุคคลไร้สัญชาติมาโดยตลอด แต่เนื่องจากมีความซับซ้อนในเชิงระเบียบกฎหมายหลายฉบับจึงใช้ระยะเวลายาวนาน โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ได้ร่างกฎกระทรวงกําหนดฐานะและเงื่อนไขการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. .. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้

เมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา เกิดกรณีความไม่เข้าใจต่อกรณีอินฟลูเอ็นเซอร์ในช่องทางโซเชียลมีเดีย แจ้งว่าเด็กชาวเมียนม่าได้สัญชาติไทยอัตโนมัติ ซึ่ง นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีการชี้แจงไปแล้วว่า ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง เด็กไม่ว่าจะสัญชาติใดจะต้องได้รับการดูแลคุ้มครองตาม อนุสัญญาสิทธิเด็ก ข้อที่ 22 ไม่ได้ให้สัญชาติเด็กต่างชาติ และย้ำว่า คุ้มครองดูแลเด็กเท่านั้น

ความคืบหน้า

สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร เพื่อใช้ทดแทนหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ทั้งนี้ เพื่อให้บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร [ชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ (กลุ่มเป้าหมาย 19 กลุ่ม)] ที่รอการพิจารณากำหนดสถานะในปัจจุบัน จำนวน 483,626 คน ให้ได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) หรือสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสถานะของบุคคลในประเด็นต่าง ๆ
ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้ว โดยที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคสำคัญ 4 ประการ ดังนี้

1) ปัญหาเรื่องขั้นตอนการดำเนินงานในการสอบสวนผู้ยื่นคำขอและพยานบุคคล
2) การตรวจสอบพยานและหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ใช้ระยะเวลานาน
3) การพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการและอนุกรรมการใช้ระยะเวลานาน
4) บุคลากรที่ทำหน้าที่ดังกล่าวมีความขาดแคลน

สมช. จึงได้เสนอปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ตามตารางการเปรียบเทียบหลักเกณฑ์มติ ครม. เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2564 และหลักเกณฑ์ที่เสนอขอปรับปรุง ตามรายละเอียดในตาราง

กลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักร
หลักเกณฑ์เดิม (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564) หลักเกณฑ์ที่เสนอขอปรับปรุง

กลุ่มเป้าหมาย

1.บุคคลที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติในอดีตจนถึงปี พ.ศ. 2542
2. บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรภายในปี พ.ศ. 2542 กลุ่มที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน (ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม) คงกลุ่มเป้าหมายเดิม

คุณสมบัติ

1. หลักเกณฑ์ทั่วไป

1) มีชื่อในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติและมีเลขประจำตัว 13 หลัก
2) มีภูมิลำเนาและอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย ติดต่อกันต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 15 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำขอมีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
(ตรวจสอบพฤติการณ์ด้านความมั่นคงโดยหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นต้น ซึ่งหลักเกณฑ์นี้กำหนดไว้ในคู่มือปฏิบัติงานของกรมการปกครอง มท.)
3) มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยและเลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
4) มีความประพฤติดี และไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดไม่เคยรับโทษคดีอาญา ยกเว้นความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ
5) หากได้รับโทษคดีอาญา ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้อง เว้นแต่โทษในคดียาเสพติดฐานเป็นผู้ค้าหรือผู้ผลิตให้ขยายระยะเวลาจาก 5 ปี เป็นไม่น้อยกว่า 10 ปี
6) ประกอบอาชีพสุจริตโดยมีใบอนุญาตทำงานหรือหนังสือรับรองจากนายอำเภอท้องที่ยกเว้นเด็กที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในศาสนาอื่น ซึ่งต้องปฏิบัติกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และคนพิการ (แล้วแต่กรณี)

2. หลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มบุคคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานาน กลุ่มเด็กที่ไม่ได้เกิดในราชอาณาจักร กลุ่มคนไร้รากเหง้า และกลุ่มบุคคลที่ทำให้คุณประโยชน์แก่ประเทศไทย

* การอนุญาตผ่านคณะอนุกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทย และให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย ระดับจังหวัด)/กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทยและให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย

– รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาอนุญาต ปรับหลักเกณฑ์ให้ผู้ยื่นคำขอยืนยันและรับรอง

คุณสมบัติของตนเองเพื่อเร่งรัดคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว หากมีคุณสมบัติ ดังนี้
(*ปรับ ให้ผู้ขอยืนยันและรับรองคุณสมบัติของตนเองแทนการสอบสวนผู้ขอและพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือและแทนการส่งไปตรวจสอบประวัติอาชญากรรมและตรวจสอบพฤติการณ์ด้านความมั่นคงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)

1) มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยและเลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2) มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ไม่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ถึงที่สุดของศาลให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หากเคยได้รับโทษดังกล่าว ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้อง เว้นแต่โทษในคดียาเสพติดฐานเป็นผู้ค้าหรือผู้ผลิต ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ยกเว้นสำหรับเด็กที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี บริบูรณ์
3) ไม่สามารถกลับประเทศต้นทาง/ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวใด ๆ กับประเทศต้นทาง
4) ไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น

– ยกเลิกหลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่ม –

การอนุญาต

1.ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน เป็นผู้พิจารณาอนุญาตและออกหนังสือรับรองการได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
2. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นนอกเขต กทม. นายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุญาตและออกหนังสือ รับรองการได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ราชอาณาจักร
3. อธิบดีกรมการปกครอง มีอำนาจดำเนินการทั่วราชอาณาจักร

กลุ่มเป้าหมาย
บุตรของชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักร กลุ่มเป้าหมาย
บุตรของบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร เป็นเวลานาน ที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้ สัญชาติไทย (เฉพาะชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม ไม่รวมชาวต่างด้าวอื่น ๆ )

(ปรับ ให้เป็นบุตรของบุคคลที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้ในอดีตจนถึงปี พ.ศ. 2542 และที่สำรวจเพิ่มเติมภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ระหว่างปี พ.ศ. 2548 – พ.ศ. 2554 เพื่อให้ครอบคลุมการแก้ไขทุกกลุ่มและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตามคุณสมบัติด้านล่าง)

คุณสมบัติ
1. บิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ จะต้องได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัว 13 หลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรและต้องเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี นับถึงวันที่บุตรยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย
2. ต้องมีหลักฐานการเกิดในราชอาณาจักรไทยและทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
3. ต้องไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น
4. ต้องพูดและเข้าใจภาษาไทย
5. มีความจงรักภักดีและเลื่อมใสระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
6. มีความประพฤติ ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ไม่เคยต้องรับโทษความผิดคดีอาญาเว้นแต่ความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ หรือถ้าเคยรับโทษคดีอาญา ต้องพ้นโทษมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย

คุณสมบัติ

1. บิดาหรือมารดาเป็นบุคคลที่ได้รับการสำรวจจะต้องได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติ มีเลข จัดทำทะเบียนประวัติไว้ในอดีตจนถึงปี พ.ศ. 2542 และที่สำรวจเพิ่มเติมภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลระหว่างปีพ.ศ. 2548 – พ.ศ. 2554
2. ต้องมีหลักฐานการเกิดในราชอาณาจักรไทยและมีชื่อในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
3. ให้ผู้ยื่นคำขอยืนยันและรับรองคุณสมบัติของตนเอง เพื่อเร่งรัดคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว หากมีคุณสมบัติ ดังนี้
3.1) ต้องไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น
3.2) ต้องพูดและเข้าใจภาษาไทยกลาง หรือภาษาถิ่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในพื้นที่จังหวัดที่เป็นภูมิลำเนา ของผู้ขอ ยกเว้นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี คนพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ทางการสื่อสาร จิตใจ และทางพฤติกรรม
3.3) มีความจงรักภักดีและเลื่อมใสการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3.4) มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ไม่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หากเคยได้รับโทษดังกล่าว ต้องพ้นโทษมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้อง เว้นแต่โทษในคดียาเสพติดฐานเป็นผู้ค้าหรือผู้ผลิตต้องพ้นโทษ มาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ยกเว้นสำหรับเด็กที่มีอายุ ไม่เกิน 18 ปี

การอนุญาต
1. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาในเขตกรุงเทพมหานคร
– อายุไม่เกิน 18 ปี ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
– อายุเกิน 18 ปี อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้พิจารณาอนุญาต

2. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นนอกเขตกรุงเทพมหานคร
– อายุไม่เกิน 18 ปี นายอำเภอ เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
– อายุเกิน 18 ปี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้พิจารณาอนุญาต การอนุญาต

1. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาในเขต กทม. ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียนเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
2. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นนอกเขต กทม. นายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
3. อธิบดีกรมการปกครอง มีอำนาจดำเนินการทั่วราชอาณาจักร

*เพิ่มเงื่อนไข
หากภายหลังปรากฏว่าผู้ได้มาซึ่งสัญชาติไทยคุณสมบัติไม่เป็นไปตามลักษณะหรือหลักเกณฑ์ข้างต้น อาจถูกเพิกถอนคำสั่งทางปกครองในการให้สัญชาติไทยดังกล่าว (สามารถถอนสัญชาติไทยของบุคคลดังกล่าวได้โดยอาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 17 และมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องพิจารณาที่ 9/2567)

การดำเนินการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย (ออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่)
รวมระยะเวลาการดำเนินการ 270 วัน การดำเนินการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย (ออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่) รวมระยะเวลาการดำเนินการ 5 วัน

การดำเนินการขอมีสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้สัญชาติไทย
รวมระยะเวลาการดำเนินการ 180 วัน การดำเนินการขอมีสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้สัญชาติไทย

รวมระยะเวลาการดำเนินการ 5 วัน

โดย สมช. แจ้งว่าหากมีการปรับแก้หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรแล้ว จะมีการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาใหม่เพื่อให้เร่งรัดกระบวนการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช. เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน

Written By
More from pp
การบินไทย พร้อมทำการบินเที่ยวบินพิเศษ “บินรับพรปีใหม่ สุขใจตลอดปี” ในเส้นทางบินรูปหัวใจ ฉลองปีใหม่ 2564
นาวาอากาศตรี อนิรุต แสงฤทธิ์ รักษาการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยจัดเที่ยวบินพิเศษต้อนรับปีใหม่ 2564...
Read More
0 replies on “ครม. รับหลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ปัญหาสัญชาติกว่า 4.8 แสนคน ลดขั้นตอนมอบสัญชาติ”