เปลว สีเงิน
รัฐบาลชอบพูด “ถอดบทเรียน”
ผมเห็นด้วย
ดังนั้น วันนี้ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๗ ผมก็อยากให้ “นายกฯ แพทองธาร-พรรคเพื่อไทย” และ “คนในระบบรัฐ”
นำคดี “ตากใบ” เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ซึ่งมีคนตาย ๘๕ ราย มาถอดบทเรียนกันบ้าง
เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงสะท้อนกระบวนการยุติธรรมไทยทั้ง “ต้นน้ำ-ตำรวจ, กลางน้ำ-อัยการ และปลายน้ำ-ศาล” เท่านั้น
ยังสะท้อนระบบบริหารคือรัฐบาล ระบบนิติบัญญัติ คือรัฐสภา รวมทั้งด้านคติทางศาสนาว่าด้วย “กรรม” ด้วย
คือคดีตากใบ เกิดเมื่อ ๒๕ ตุลา.๔๗ จวนเจียนจะครบ ๒๐ ปี คดีจะ “หมดอายุความ” แต่คดียังไปไม่ถึงศาล
จน “ครอบครัวผู้เสียชีวิต” ต้องเป็นโจทก์ฟ้องเองต่อ “ศาลจังหวัดนราธิวาส” ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตกเป็นจำเลย ๗ ราย เมื่อ ๒๓ สิงหา.๖๗
คือ “ก่อนหมดอายุความ” เพียง ๒ เดือน!
เมื่อชาวบ้านเป็นโจทก์ฟ้องเองแล้ว ต่อมา ๑๘ กันยา. ๖๗ “อัยการสูงสุด” ถึงได้สั่งฟ้องทหารและพลเรือนอีกแปดราย เป็นสำนวนคดีที่สอง
จำเลยในสำนวนที่สองนี้ เป็นพลขับรถแทบทั้งหมด
พูดถึงสำนวนคดีแรกที่ผู้เสียหายฟ้องเอง เมื่อศาลประทับรับฟ้อง นัดสอบปากคำให้การครั้งแรก
ปรากฏว่า ๗ จำเลย “หนีเรียบ”
พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ ๔ อดีต สส.เพื่อไทย
พล.อ.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร อดีตผบ.พล.ร. ๕
พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ อดีต ผอ.ศปก.ตร.สน.
พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ อดีตผบช.ภ.๙
พล.ต.ต.ศักดิ์สมหมาย พุทธกูล อดีตผกก.สภ.ตากใบ
นายศิวะ แสงมณี อดีตรอง ผอ.กอสส.จชต.และอดีตรองปลัดมท.
นายวิชม ทองสงค์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส
ไม่ไปศาลตามนัด……
พูดชัดๆ คือ “หนีศาล-หนีคดี” ไปไม่กี่วัน ก็ “หมดอายุความ” แล้ว!
ก็หนีพ้นจริงๆ วันนี้ ๒๖ ตุลาคม จำเลยทั้ง ๗ จะลอยชายไปซดไวน์ที่จันทร์ส่องหล้าได้สบาย ตามประสา “คนกันเอง”
กฎหมายทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่จงเข้าใจ “กฎสังคม” ถอดศักดิ์ศรีความเป็นคนออกจากพวกท่านทั้ง ๗ ไปแล้ว!
คุกมีไว้ “ขังคนจน” กับ “ขังหมา”……
วลีนี้ ยังคงเป็นวลีสะท้อนมาตรฐานยุติธรรมไทยที่เชื่อถือได้และคงเส้น-คงวา!
ระยะสัปดาห์กว่ามานี้ เรื่อง ๗ จำเลย มีคนสะท้อนเป็นบทคิดใคร่ครวญกันมากแล้ว
ฉะนั้น ผมจึงอยากสะท้อนแง่มุมอื่นๆ บ้าง
แต่แง่ที่ผมจะคุย ถ้าไม่ฉาย “ภาพรวม” ของเรื่องก่อน ภาพอาจเบลอ
คือเรื่องนี้ เกิดยุค “ทักษิณ” เป็นนายกฯ
และคดีตากใบไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ มันเป็น “เหตุต่อเนื่อง” อีก ๒ เหตุการณ์ในรัฐบาลทักษิณ ปี ๒๕๔๗
คือ เหตุการณ์แรก
มีการปล้นปืนจาก “กองพันพัฒนาที่ ๔” ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ นราธิวาส เมื่อ ๔ มกรา.๔๗
ทหารถูกฆ่าไป ๔ นาย!
จากนั้น ๓ จังหวัดใต้ก็ร้อนฉ่า ขบวนการเขย่าใต้เผาโรงเรียนพร้อมกัน ๒๐ กว่าแห่ง วางเพลิงสถานที่ราชการ
บุกวัด ฆ่าพระ ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ
มีคนกลุ่มหนึ่งบุกโจมตี “ฐานที่มั่นทางราชการ” พร้อมกัน ๑๑ จุด รวมทั้ง “จุดตรวจกรือเซะ” เมือง ปัตตานี ด้วย
คนร้ายหนีเข้าไปใน “มัสยิดกรือเซะ” เจ้าหน้าที่ตามติดเกิดการต่อสู้กัน ผลปรากฏตายในมัสยิดกรือเซะ ๓๔ ศพ เมื่อ ๒๘ เมษา.๔๗
จาก ๒ เหตุการณ์ บวกกับทักษิณใช้นโยบาย “กำปั้นเหล็ก” และปรามาสว่า พวกก่อการนั้น เป็น “โจรกระจอก”
นำไปสู่การชุมนุมหน้าสถานีตำรวจตากใบ มีการสลายการชุมนุม ด้วยการจับมัดมือไขว้หลังใส่รถบรรทุกทับซ้อนกัน ทำให้มีคนตาย ๘๕ ศพ
รวมเฉพาะ ๓ เหตุการณ์ ปล้นปืน, กรือเซะ, ตากใบ มีคนตาย ๑๒๓ คน!
ทักษิณในฐานะนายกฯ จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ๓ เหตุการณ์นี้ “ผมเปล่ารู้-เปล่าเห็น และเปล่าสั่ง”
นี่เป็นผลงานทักษิณ ช่วงเป็นนายกฯ บริหารประเทศ
จากรัฐบาล “ทักษิณ-พี่ชาย” มาถึงรัฐบาล “น้องสาว-ยิ่งลักษณ์”
นายกฯยิ่งลักษณ์ “จ่ายเยียวยา” ให้ผู้ได้รับผลกระทบ เหตุการณ์ตากใบ ๙๘๗ ราย วงเงินรวม ๖๔๑ ล้านบาท
คือ เสียชีวิต ๘๕ รายๆ ละ ๗.๕ ล้านบาท, พิการ ๑ ราย จ่าย ๗.๕ ล้านบาท, บาดเจ็บ ๔๙ ราย จ่ายรายละ ๒.๒๕ แสนบาท-๔.๕ ล้านบาท
ที่ถูกดำเนินคดี ๓๐ ราย รายละ ๓ หมื่นบาท, ที่ถูกควบคุมตัว แต่ไม่ถูกดำเนินคดี ๗๙๔ ราย รายละ ๑.๕ หมื่นบาท
เยียวยา ก็ส่วนเยียวยา เอาการเยียวยาไปลบล้างคดีอาญาไม่ได้ แต่ช่วงนั้น คดีก็ดูเงียบไปจากสารบบทั้งตำรวจและอัยการ
มาโผล่เปรี้ยงอีกที…..
โดยญาติผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเองในปีสุดท้ายอายุความยุค “รัฐบาลลูกสาวทักษิณ” คือนายกฯ แพทองธาร เมื่อเดือนสิงหา.๖๗ นี่เอง!
๒๔ ตุลา.๖๗ นายกฯ แพทองธาร แถลงขอโทษ
๒๕ ตุลา.๖๗ คดีหมดอายุความ ๗ จำเลย “พ้นคดี” ไป!
และต่อจากนี้ ผู้สันทัดกรณีทั้งหลายบอกว่า “ไฟแค้น” จะจุด “ไฟใต้” ในเมื่อ “มือกฎหมาย” ปล่อยจำเลยลอยนวล “มือกฎโจร” ก็จะปฎิบัติการ
ผมก็รับฟัง แต่อย่างที่บอก ปัญหาใต้ มันมีหลายมุมให้มอง เราทุกคนในฐานะ “ประชาชนร่วมชาติ”
“ไม่ต่างจิ้งหรีด”
ถูกมือที่มองไม่เห็น ใช้ความหลากหลายในเชื้อชาติและศาสนา “สร้างสถานการณ์” ปั่นหัวให้คิด ให้แค้น ให้แตกแยก-แบ่งทำลายกันมากว่าครึ่ง-ค่อนศตวรรษ
มีแต่ตายและสูญเสีย
ในขณะที่คน “บางกลุ่ม-บางพวก” ที่ปั่นหัวเรา พวกเขากลับมีผลได้ “เสวยสุข-เสวยอำนาจ” อยู่ท่ามกลางความแตกแยกที่ปั่นเรา
ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งชาวบ้าน ทั้งโจร ให้ต้อง “แค้น-ฆ่า” กัน ชนิดหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่า
ทำไปเพื่ออะไร พวกเรา…ชาวบ้าน เสียทั้งชีวิต เสียทั้งโอกาสในชีวิต
แต่พวกเขา “กินหรู-อยู่ห้องแอร์” เอาพวกเราเป็นสินค้าไปแลกเปลี่ยนกันบนโต๊ะเจรจา
ถ้าตกลงได้ พวกเขาได้
ถ้าไม่ตกลง พวกเรา…ชาวบ้าน ไม่ว่า “ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม” ตาย ถูกปั่นหัว-มอมหน้า ให้แค้นฆ่า ตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ชีวิตพวกเราชาวบ้านทุกวันนี้ กลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยอำนาจพวกเขาให้เห็นว่าเป็นเจ้านายเรา
คิดในมุมนี้แล้ว ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก เราไทยร่วมแผ่นดินด้วยกัน จะยอมให้ “มือที่มองไม่เห็น” มันปั่นหัวพวกเราให้คิดคลั่งสู่แค้นฆ่ากันเองเพื่อพวกมันไปเพื่ออะไร?
ถ้าคิดในมุม “แค้นต้องชำระ”
ชาตินี้ต่อถึงชาติหน้า ก็ฆ่ากันไม่จบ เพราะการฆ่ามันไม่ใช่การล้างแค้น หากแต่การฆ่าเป็นการต่อแค้นให้ต้องฆ่าเพื่อแค้นเป็น “วงจรอุบาทว์” เช่นนั้นไปทุกภพ-ทุกชาติ
สมมติ แค้นในคดีตากใบ ในคดีกรือเซะ ไม่จบ
ทำนองเดียวกัน ชาวบ้าน ครู พระ ทหาร ตำรวจ เด็กนักเรียนที่ถูกฆ่า เขาก็จะทวงแค้นคืนบ้าง
ต่างฝ่าย “ต่างมีแค้น” ต้องชำระ แล้วคิดซิ ทั้งชีวิตพวกเราต้อง “ต่างแค้น-ต่างฆ่า” กันไปตลอดภพ-จบชาติ มันใช่หรือ?
“ยิว-อาหรับ-คริสต์” ฆ่ากันมาเป็นพันๆ ปี
นอกจาก “จุดจบ” คือพินาศด้วยกันทุกฝ่ายที่มองเห็นแล้ว แต่ “จุดสงบ” มองไม่เห็นเลย!?
เรา “ไทยมุสลิม-ไทยพุทธ” ในเมืองไทย เป็นความต่างที่ลงตัวสวยงามศานติ จน “สังคมโลกอิจฉา”
ฉะนั้น นักการเมืองก็ดี การศาสนาก็ดี การทหารก็ดี การศึกษาก็ดี การสื่อสารก็ดี
ในหนึ่งปัญหาแต่มีร้อยมุมให้มองนั้น….
ช่วยกันมองในทาง “ประคับ-ประคอง” ความต่างที่ลงตัวในไทยอันโลกอิจฉา
ให้ “เฉิดฉาย-ฉาดฉาน” แทนการกระทุ้ง-กระแทกให้แหลกราญเถอะ
อีกมุม อยากฝากให้มอง…..
ทุกคนเข้าใจคำว่า “มรดก” ใช่มั้ย ไม่เพียงทรัพย์สินเงินทองนั้นอันเป็น “มรดกตกทอด” จากบรรพบุรุษถึงลูก-หลานผู้เป็นทายาทเท่านั้น
“กรรม” ที่พ่อ-แม่ “กระทำ”
ไม่ว่า “กรรมดี” หรือื “กรรมชั่ว” ก็นับเป็นมรดกที่จะต้องตกทอดถึงทายาทด้วย!
ท่านสังเกตมั้ย ไฟ-ตากใบที่เผาไหม้รัฐบาลเพื่อไทยและไฟเผาทรวงนายกฯ แพทองธารขณะนี้
นี่คือ “มรดกกรรม” จากพ่อส่งต่อถึงลูก!
๒ ทศวรรษ คือ ๒๐ ปี พอดี กรรมที่พ่อก่อในปี ๒๕๔๗ ก็หมุนวงรอบมาบรรจบในยุคลูก
ผมอยู่ในดงข่าว จึงเห็นบทบาททักษิณเหี้ยนกระหือรือในเรื่องโจรกระจอกผ่านข่าวโทรทัศน์และได้ยินเต็มสองรูหูว่าทักษิณใช้คำพูดแบบไหนราดลงไปกองเพลิงไฟใต้
แต่เกิดประโยชน์อันใดที่จะขุดคุ้ยขึ้นมาให้คุอีก ผมเชื่อที่ทักษิณทำ ก็ไม่ได้ทำเพื่อมุ่งร้าย หากแต่มันมีปัจจัยหลายด้าน ต้องการปั่นสถานการณ์ ๓ ชายแดนใต้
เรื่องในอดีต “แก้ไขไม่ได้”
ฉะนั้น อดีต “ไม่มีผิด-ไม่มีถูก” ถ้าเราเข้าใจในการใช้อดีตเป็น “สารตั้งต้น” ปัจจุบัน
เมื่อเพื่อไทยมีโอกาสเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ผมเห็นอาหาร “จานด่วน” เพื่อ “ระบอบทักษิณ” หลายจาน
แต่ “ไม่มีซักจาน”……
เป็นฝันที่ไปถึงและจับต้องได้เป็น “อนาคตใหม่” ของพี่น้อง ๓ จังหวัดใต้เลย
เปลี่ยนล้างแค้น เป็น “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ฮาลาล” ที่ ๓ จังหวัดใต้ซักแห่ง
ไม่เลิกบึ้ม…มาเตะผมได้เลย!
เปลว สีเงิน
๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๗