เปลว สีเงิน
ผมเป็นคน “นอกวงแขนรัฐบาล” ฉะนั้น อะไรที่เรียกการเมือง “วงใน”
“อย่ามาถามผม”
แต่ “วงนอก” ว่าด้วยการนินทาชาวบ้านละก็ ตั้งวงเมาธ์กันได้ ๓ วัน ๗ คืน
มีคนถาม “รัฐบาลนายกฯ แพทองธาร” จะอยู่ไปอีกนานมั้ย?
เออ…ถามง่าย แต่ตอบยากเนอะ!
ตามเทอมก็โน่นแหละ ถึงปี ๒๕๗๐ แต่ดูทรงแล้ว มันยาก….ที่จะลากยาวไปจนครบเทอม!
นายกฯ อุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย “ต้นทุนทรัพย์” มีเยอะก็จริง
แต่ “ต้นทุนศรัทธา” ทางเชื่อถือในตัวนายกฯ และในรัฐบาลเพื่อไทย “มีน้อย” ถึงขั้นแทบ “ไม่มีเลย”!
บางคนแย้ง รัฐบาลนี้ มีตั้ง ๓๐๐ กว่าเสียง แข็งโด่ ยิ่งกว่าตัวอับเฉาถ่วงสำเภา แถมทักษิณเป็น “ไม้เสียบผี” อยู่ทั้งแท่ง
แล้วจะล้มได้ยังไง….
ในเมื่อปฐพีไทย “นาทีนี้” ใคร-หน้าไหนที่จะ “ใหญ่กว่าทักษิณ…หือ!?”
ผมก็ไม่เถียงนะ แต่บังเอิญผมเป็นคนช่างสังเกต จึงพอจับความสั่นไหวได้ว่า
ปัจจุบัน “คนตาบอด” แต่ยุค “รัฐบาลทักษิณ-รัฐบาลยิ่งลักษณ์”
ด้วยปาฎิหาริย์แห่งการปลุกสังคม “ตื่นทำ” ในยุคพลเอกประยุทธ์ ทำให้ “คนตาบอด” กลับเป็น “คนตาสว่าง” กันมาก-ต่อมาก
แต่ทักษิณ ในสภาพ “คนหนีคุก” ไป ๑๗ ปี เมื่อสิ้นทางไป ซมซานกลับมา
รับสารภาพว่าคอร์รัปชั่น “โกงบ้าน-กินเมือง” จริง ศาลตัดสินจำคุก ๘ ปี
แต่น่าสมเพช ในขณะที่ชาวบ้าน จาก “ตาบอด” กลับเป็น “ตาสว่าง”
แต่ทักษิณ คนตะบบชาวบ้านกิน กลับมืดบอด “ทั้งตา-ทั้งใจ” หนักกว่าเดิม
ยอมรับ “โทษคุก”…….
แต่ไม่ยอมรับการถูกจองจำในคุก ได้ทูลเกล้าถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ
ก็ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้ จาก ๘ ปี เหลือโทษจำคุก ๑ ปี!
แทนที่จะสำนึกในพระมหากรุณา ยอมรับโทษ ๑ ปีนั้น
เมื่อพรรคเพื่อไทยของตัวเองได้อำนาจคุมรัฐ ในฐานะรัฐบาล ก็แสดงอำนาจ “เหนือระบบรัฐ”
คนระบบรัฐก็ยอมสยบต่อโจรปล้นเมือง…
ชาวบ้านไร้อำนาจ ได้แต่อัดอั้นตันใจ ทำได้แค่แดกดันอวยยศนักโทษทักษิณให้เป็น “นักโทษเทวดา”
โทษคุก ๑ ปี แต่แค่ “นาทีเดียว” ทักษิณก็ไม่ต้องรับโทษคุก “ในคุก”!
แถม เมื่อพ้นโทษคุกที่ไม่เคยติดคุกจริง ทักษิณก็เที่ยวโพนทนาว่า เขา “ถูกยัดข้อหา” จนต้องติดคุก
ทั้งที่ในฎีกาที่ยื่นขอรับพระราชทานอภัยโทษ ตัวเองเขียนระบุไว้ชัดว่า….
“ด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด”
แต่พอได้รับไออุ่น “งูเห่า” ก็ฉกกัดทันที.. “ผมถูกยัดข้อหา”!
ทักษิณต้องสมนาคุณ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ให้หนักและให้มากเข้าไว้นะ
เพราะการติดคุกโดยไม่ต้องติดจริง พูดทางกตัญญูรู้คุณ ทักษิณติดหนี้บุญคุณ “รัฐมนตรีสมศักดิ์” เขา…รู้มั้ย
ถ้านายสมศักดิ์ สมัยเป็นรัฐมนตรียุติธรรม ไม่ออก “กฎกระทรวง” ว่าด้วย “การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ” ไว้ ตอนปี ๒๕๖๓
นำร่องกรมราชทัณฑ์ได้ออก “ระเบียบกรมราชทัณฑ์” ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.๒๕๖๖ ละก็
ยากกกส์…
ที่จะได้ไปนอนรอยัล สวีท ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ จนเลยกำหนดตามระเบียบด้วยซ้ำ โดยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
ในข้อครหาสังคมที่ว่า “ศาลจำคุก-ราชทัณฑ์ปล่อย”
ถ้าไล่เบี้ยตามตะเข็บอำนาจแล้ว รัฐมนตรียุติธรรมปัจจุบัน “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง”
จะว่าไป ท่านตกที่นั่ง “แพะรับบาป” ชนิดเถียงไม่ขึ้น!
ก็น่าเห็นใจ…..
เหมือนนักโทษแหกคุก มันแหกปุบปับไม่ได้หรอก จะต้องวางแผน วางทีหนี-ทีไล่ ล่วงหน้ากันเป็นเดือน-เป็นปีๆ
กรณี “นักโทษเทวดา” นี่เหมือนกัน…..
เพราะ “เทพอุ้มสม” ออกกฎกระทรวง เป็นสารตั้งต้นนำร่อง
“ระเบียบราชทัณฑ์” จึงออกเน้นบางประเด็นให้ตรงเป้ายิ่งขึ้นล้อไปกับกฎกระทรวงที่ออกไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ลงล็อก” พอดี ตอน “พ.ต.อ.ทวี” เป็นรัฐมนตรียุติธรรม ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก
เจ้าหน้าที่ชั้นปฎิบัติการ ไหลไปตาม “กฎ-ระเบียบ” ที่สำเร็จรูปรอท่าแล้ว ทุกอย่าง ก็ลงตัวเหมือน “ผีจับยัด”!
เรื่องนี้ ถ้า “ศาลรัฐธรรมนูญ” รับคำร้องของ “นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ไว้พิจารณาวินิจฉัยละก็
รัฐมนตรีทวี “หนักหน้า” ในฐานะ “คนนั่งหน้าเสื่อ” ขณะเกิดเหตุ
แต่รัฐมนตรีที่จะ “หนักทั้งหน้า” และ “หนักทั้งใจ” ตอนถูกไล่เลียงในชั้นไต่สวน น่าจะมี “อดีตรัฐมนตรียุติธรรม” ซักคน
เมื่อ ๒๒ ตุลา…..
คดีที่ “นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยอ้างว่า
ทักษิณ, พรรคเพื่อไทย ร่วมทำการ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขใน ๖ ประเด็น นั้น
เอ้า…ทบทวนกันอีกที ๖ ประเด็นมีอะไรบ้าง ก็ดังนี้
๑.ทักษิณ สั่งการให้รัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ตัวเขา ให้พักอยู่ห้องพักชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยวิกฤต
๒.ทักษิณสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกฯฮุนเซน กัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ “ทับซ้อนทางทะเล” เพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
๓.ทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคประชาชนแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาชน ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลฯ ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๔.ทักษิณสั่งการแทนพรรคเพื่อไทยเจรจากับแกนนำพรรคการเมืองอื่น ที่ร่วมรัฐบาล “นายเศรษฐา ทวีสิน” เพื่อหารือเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯคนใหม่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าของนายทักษิณ
๕.ทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทย มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และ
๖.ทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทย นำนโยบายของตนเอง ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
ทั้ง ๖ ประเด็นนี้ วานซืน ศาลฯ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งว่า
“เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้ง “อัยการสูงสุด” เพื่อขอทราบว่า
“ได้ดำเนินการตามคำร้อง “นายธีรยุทธ” ไปแล้วอย่างไร รวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด ให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน ๑๕ วัน นับเป็นวันที่ได้รับหนังสือ”
ยอมรับว่า “ศาลฯ” รอบคอบทุกขั้นตอน เพราะก่อนนายธีรยุทธมายื่นคำร้องต่อศาลฯ ได้ไปยื่นต่อ “อัยการสูงสุด” ตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ แล้ว
เมื่ออัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน ๑๕ วัน นายธีรยุทธจึงอาศัยช่องทางนั้น มายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
การที่ศาลฯ ถามอัยการสูงสุดและให้รวบรวมพยานหลักฐานจากที่เนินการในเรื่องนี้หลังรับคำร้องนายธีรยุทธไปนั้น
ถือเป็นระบบการตรวจสอบควบคุมซึ่งกันและกันที่เรียก “checks and balances”
ภายใน ๗ พฤศจิกา.คำตอบพร้อมพยานหลักฐานเท่าที่ฝ่ายอัยการสูงสุดได้ทำ (หรือรับแล้วดองไว้เฉยๆ) ก็จะต้องรวบรวมส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ
หมายความว่าไม่เกินกลางพฤศจิกา.ศาลฯ น่าจะมีคำสั่งจะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาหรือไม่รับ!?
ดูตามทรง “น่าจะรับ” มากกว่า ๗๐-๘๐% ในทัศนะผม
เพราะอย่างนี้ ถ้าสังเกต จะเห็น เรื่องที่รัฐบาล “เดินหน้าเต็มสูบช่วงนี้” ไม่ใช่ ร่างพรบ.ประชามติ หรือผลศึกษาแนวทางออกพรบ.นิรโทษกรรม
แต่จะเป็นเรื่องอาหาร “จานด่วน-จานร้อน” เช่น
เรื่องใบอนุญาตกาสิโน, เรื่องเอาที่ดินท่าเรือเป็นสถานที่ตั้ง “กาสิโน-เอนเตอร์เทนเมนท์”
เรื่องซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าทั้งหมด, เรื่องแก้สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าเชื่อม ๓ สนามบิน
เรื่องเอาเกาะกูดของไทยไปเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” กับเขมรเพื่อขุดก๊าซแบ่งผลประโยชน์กัน, เรื่องถมทะเลในอ่าวไทยทำเกาะ “ขายแผ่นดิน” ๙๙ ปี
แต่ละเรื่อง เดิมพันนับแสนๆ ล้าน ถึงระดับล้านล้านบาททั้งนั้น
สรุป ในคำถามที่ว่า “รัฐบาลนี้จะอยู่อีกนานมั้ย?”
การเร่งรีบผ่าน “จานด่วน-จานร้อน”
คือ “อาการ” เป็น “คำตอบ” ชัดในตัวมิใช่หรือ!?