สันต์ สะตอแมน
เรือนนอน..
นี่..พูดตามประสาทั่วไป ส่วนกรมราชทัณฑ์ได้เรียกเป็นทางการว่า “เรือนจำ” แต่จริงๆ มันก็ต่างกันแค่คำท้ายศัพท์เท่านั้นเอง!
คำว่า “จำ” ในทางพระท่านให้หมายถึง “นอนหลับ” เราไม่พูดว่า พระนอนหลับ แต่พูดว่า “พระจำวัด” ทำให้ฟังแล้วมีความรู้สึกไม่เป็นฆราวาสซึ่งเหมาะสมกว่า
และคำว่า “เหมาะสม” สำหรับพระนั้น ไม่ว่าจะพูดจะจา จะคิดอ่าน-คิดเขียน หรือการนั่งการนอน เดินเหิน เป็นอาทิ..
รวมความว่า “จริยาวัตร” (ความประพฤติที่ควรประพฤติ) นั่นแหละ!
กรมราชทัณฑ์ก็คงต้องการให้เป็นคำที่ฟังแล้วเป็นทางการ แต่รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามแฝงอาการเย็นไขสันหลัง หรือรู้สึกแข้งขาอ่อนเปลี้ยอยู่ในที
ซึ่งจะทำให้คนทั้งหลายได้เข้าใจว่า เมื่อเข้าไปอยู่ใน “เรือนจำ” แล้ว จะรู้สึกอย่างที่คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เคยให้คำจำกัดความว่า “นรกมีจริง”!
เวลานี้บรรดา “บอส” ทั้งชาย-หญิงที่ทยอยย้ายที่นอน-ที่กินไปอยู่ “เรือนจำ” คงจะลึกซึ้งถึงคำว่า “นรกมีจริง” นั้นเป็นอย่างไร?
เรื่องบอสๆ ขายตรงดิไอคอน ตอนแรกก็คิดว่าจะจบลงง่ายๆ เอาไปเอามาบานหุบไม่ลง และลุกลามไปถึงสังคมสงฆ์-วงการการเมือง อีนุงตุงนังไปหมด
และที่คิดควรจะลงเอยอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็เรื่องของท่านเจ้าคุณ ว. ที่ตอนนี้แม้จะดูเหมือนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักจัดทัวร์ จะทำอะไรไม่ได้
ท่านคง (นั่งสมาธิอยู่กลางหิมะ) สัพเพ สัตตาฯ แผ่เมตตาให้กับเสียงเหล่านั้น เพราะท่านย้ำนักหนาเรื่อง “เมตตา” ไม่ว่าไปเผยแผ่ธรรมที่ไหนเมื่อไหร่?
ดังนั้น เรื่องโลกวัชชะทั้งปวงคงจบลงด้วยอานิสงส์ของ อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
หรือถ้าจะอุปมาก็ประมาณว่า.. เอาความสงบสยบความเคลื่อนไว สงบนิ่งอย่างภูเขาทองวัดสระเกศ ที่หมาเยี่ยวรดไม่รู้สึก!
แต่ใครจะไปคิดว่าจะกลับตาลปัตร ด้วยพระอาจารย์ผู้เปี่ยมเมตตาดันถลกจีวรตอกส้นใส่คุณสีกาแพรี่ ผู้ที่เรื่องปริยัติไม่เป็นสองรองใคร
คุณเธอก็ถือว่า ดิฉันก็เปรียญ 9 ไม่ได้น้อยหน้าท่านเจ้าคุณเหมือนกันนะคะ ท่านควรจะสำเหนียกตัวเองบ้าง หาเวลาตักน้ำใส่กะโหลกฯ เสีย บ้าง
เนี่ย..เรื่องมันก็เลยลามเข้าสู่ดงขมิ้นแบบฉุดไม่อยู่ เข้าหลัก อิทัปปัจจยตา “เพราะสิ่งนี้ๆ มี สิ่งนี้ๆ จึงมี” แบบ “เต็มคาราเบล” อย่างที่พวกภาษาวิบัติพูด!
ในความเห็นส่วนตัว ถ้าผมเป็นท่านเจ้าคุณ ผมจะใช้ความสงบและเยือกเย็น พิเคราะห์คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาที่ถาโถมด้วยโยนิโสมนสิการ..
มากกว่าจะให้ใจคุกรุ่นด้วยไฟอุปาทานพาให้เสียหลักสิกขา 3..ศีล สมาธิ ปัญญา!
เรื่องโลกติเตียน ไม่ว่าพระหรือคฤหัสถ์ก็สามารถทำให้มันไม่เกิดขึ้นได้ ในคนทั่วไปก็คิดถึงกาลและเทศะ ควรไม่ควรอย่างไร?
พระภิกษุก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่มีคำเรียกเฉพาะสำหรับพระคือ กัปปิยะ และอกัปปิยะ ซึ่งพระภิกษุผู้ทรงปัญญา สามารถประพฤติได้
ยิ่งระดับเถระซึ่งสำเร็จเปรียญธรรม 9 ประโยค เทียบเท่าการจบปริญญาเอกในทางโลกเช่นท่านเจ้าคุณแล้ว ย่อมต้องทราบดีอยู่
ข้อธรรมที่ใช้ประกอบเรื่อง ควรหรือไม่ควรประพฤติปฏิบัติ คือ การทำใจให้แยบคายหรือโยนิโสมนสิการ ผมก็เชื่อว่า ถ้าระลึกเสมอในมโนธรรมของใครก็ตาม..
เรื่องที่จะทำให้ ศีลาจารวัตร ด่างพร้อยถึงถลำอาบัติ กระทั่งการแสดงธรรมเบี่ยงเบนไปข้างเดียรถีย์ก็เช่นกัน จะเกิดขึ้นกับเจ้าตัวผู้นั้นไม่ได้เลย!
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องราวได้มาไกลขนาดนี้แล้ว แต่ในมุมผม ยังมองว่าท่านเจ้าคุณ ว. ยังเป็นลัชชีในพระพุทธศาสนาอยู่นะ
ขอยืนยันว่า ไม่สมควรจัดทัวร์ไปเยี่ยมหรือกล่าว ปรามาส-หยาบคาย ราวกับท่านเป็น “อลัชชี” ไปแล้ว!
สุดท้าย ด้วยความเคารพในความเป็นพุทธบุตรของท่าน ขออนุญาตฝากความพระพุทธองค์ทรงตรัส ให้เป็นดอกไม้ผุดในดวงอนุภาคของท่านเจ้าคุณฯ เอาไว้ตรงนี้ ความนั้นคือ..