ผักกาดหอม
แล้ว “เด็จพี่” ก็มา …
การเมืองช่วงนี้หักเหลี่ยมเฉือนคมกันสนุกครับ
แย่งกันปิดสวิตช์คู่แข่งมันหยด
ต่อเนื่องจากวานนี้ (๑๑ ตุลาคม) หลัง “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัย ทักษิณ-เพื่อไทย เลิกการกระทำใช้สิทธิและเสรีภาพ อันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ สุ้มเสียงจากพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนปากกล้า แต่ขาสั่นผับๆๆๆ
ไอ้ที่บอกว่าเลอะเทอะ ไม่กลัว ในใจคิดถ้าซ้ำรอยพรรคก้าวไกลขึ้นมา กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีหวังไปทั้งยวง
รวมทั้ง “มาดามแพ” ด้วย!
นั่นหมายความว่าต้องเปลี่ยนรัฐบาลเลยนะครับ
ฉะนั้นระหว่างนี้อยู่เฉยไม่ได้ ต้องเอาคืน
“เด็จพี่ พร้อมพงศ์” จึงต้องออกงาน
เป้าหมายอยู่ที่ “ลุงป้อม” และพรรคพลังประชารัฐ
ไปร้อง ป.ป.ช.ว่า “ลุงป้อม” “บินหรู อยู่สบาย” พร้อมหลักฐานเด็ด เที่ยวบินเช่าเหมาลำเดินทางไปต่างประเทศ
ตั้งข้อหา เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่อาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์ที่ควรได้ตามกฎหมายหรือไม่
“…หากพลเอกประวิตรไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายเอง ก็จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา ๑๒๘ ฐานเป็นเจ้าพนักงานรัฐรับเงินเกิน ๓ พันบาท
หากเป็นความจริง ถือเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามกฎหมาย ต้องถูกตัดสิทธทางการเมือง และถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง…”
“เด็จพี่” ว่างั้นครับ
พร้อมของแถม จะตรวจเส้นทางการเงินของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ด้วย เพราะเชื่อว่า ทำงานตามใบสั่งจากพรรคการเมือง
ครับ…เข้าทำนองไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
ในเมื่อ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เป็นคนเปิด “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” เป็นคนยื่น การปฏิเสธว่าพรรคพลังประชารัฐไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้ไม่เห็น คงจะเชื่อได้ยาก
เช่นเดียวกัน “เด็จพี่” สวนกลับทันควัน จะบอกว่าไม่ใช่การเอาคืน ใครจะไปเชื่อ
ถ้าจะมีความต่างระหว่างคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครอง กับคดีพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครอง ก็อยู่ตรงที่ การแก้ ม.๑๑๒ ของพรรคก้าวไกล นำไปสู่การเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
แต่กรณี “ทักษิณ” ไปนอนชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ ไม่ได้นำไปสู่การเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่บ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรมเสียมากกว่า
ฉะนั้นจะเตือนให้เอาบุญ พรรคเพื่อไทยระวัง งานนี้มีลับลวงพรางแน่นอน
คำร้อง กรณีแรก ของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” จึงต้องตีให้แตกว่า ต้องการเล่นงานจุดไหนกันแน่
ทบทวนอีกครั้งครับ
กรณีที่ ๑ ผู้ถูกร้องที่ ๑ ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก ๑ ปี โดยพบว่าผู้ถูกร้องที่ ๑ ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ ๒ เป็นเครื่องมือควบคุม การบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ ๑ ระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๑ เป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด
หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไว้พิจารณา สิ่งที่จะตามมาคือการ “ไต่สวน”
ความจริงก็จะปรากฏครับ
ทำไม “ทักษิณ” ถึงนอนโรงพยาบาลตำรวจยาว ไม่ยอมกลับคุก
คราวนี้ โรงพยาบาลตำรวจ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม หนีไม่ออก
“ทักษิณ” ป่วยจริง หรือป่วยทิพย์ คราวนี้ได้รู้กัน
สำหรับ “ทักษิณ” ไม่มีอะไรน่ากลัวครับ
ในเมื่อหมอใหญ่โรงพยาบาลตำรวจยืนกรานมาตลอดว่า เป็นผู้ป่วยวิกฤต ห่างหมอไม่ได้ เพราะเป็นตายเท่ากัน ระหว่างศาลพิจารณาคดี นอนเกาพุงอยู่ที่บ้านได้เลย
รับรองว่ารอด!
เพราะศาลจะเรียกหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด บันทึกของกรมราชทัณฑ์ ประวัติการรักษา
ครบครับ
หากเปิดกล้องวงจรปิดห้องวีไอพี ชั้น ๑๔ แล้วเห็น “ทักษิณ” นอนพะงาบๆ จริง ยืนยันอีกที รอดครับ!
ทั้งทักษิณ กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ รอดครับ
ฉะนั้นไม่ต้องกลัว
เว้นเสียว่า เปิดมาแล้ว เป็นหนังคนละม้วน
แบบนี้ก็เรียนเชิญหน้ากระดานเรียงหนึ่งเข้าคุก
แต่ก็เป็นไปได้ครับว่า ระหว่างที่ “ทักษิณ” นอนห้องวีไอพี ชั้น ๑๔ นั้น กล้องวงจรปิดเสียทุกตัว
เสียนาน
เสียแล้วไม่ซ่อม จนวันที่ “ทักษิณ” กลับจันทร์ส่องหล้า
หรืออาจจะมีครบถ้วนทุกซอกทุกมุม ยกเว้นมุมที่ “ทักษิณ” นอนไม่มีกล้อง
ส่วนประวัติการรักษาต้องถามใจหมอใหญ่โรงพยาบาลตำรวจครับว่า พร้อมพลีชีพหรือไม่
สำหรับกรณีที่ ๔ น่าจะหวาดเสียวไม่แพ้กัน
คือผู้ถูกร้องที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการแทน ผู้ถูกร้องที่ ๒ ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๗ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ ๑ (บ้านจันทร์ส่องหล้า)
นึกถึงคดีถอดถอนนายกฯ เศรษฐาขึ้นมาทันที
เพราะคำร้องของ ๔๐ สว. มีกรณี นายกฯ เศรษฐา ไปพบ ทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าด้วย
ฉะนั้นการสุมหัวของแกนนำพรรคการเมืองที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ก่อนการตั้งรัฐบาลแพทองธาร บอกได้คำเดียวครับ หากไปถึงกระบวนการไต่สวนคดี ได้ขึ้นศาลกันทั้งรัฐบาลแน่