เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 เวลา 12.45 น.ที่รัฐสภา นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติลุกขึ้นอภิปรายนโยบายของรัฐบาล ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ว่า ขออภิปราย และแนะนำรัฐบาลถึงภาพรวมเศรษฐกิจวันนี้ มีการขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ช่วงโควิดมาแล้ว อัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 2 % ต่อปี และครึ่งปีแรกของปี 2567 GDP โตแค่ 1.9% เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าเติบโตกว่าเราเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ โตถึง 4.9% ต่อปีมาเลเซีย 5.2% ต่อปี และอินโดนีเซีย 4.7% ต่อปี
คำถามคือ ทำไมประเทศไทยอัตราการเติบโตเศรษฐกิจต่ำมาก ทั้งๆ ที่เรามีศักยภาพไม่น้อยกว่าประเทศอื่น ซึ่งเมื่อดูแล้ววันนี้เศรษฐกิจของไทยขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยว และการเกษตร เป็นหลัก เมื่อเกิดสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิดแพร่ระบาด หรือสงครามการค้าสงครามระหว่างประเทศกระทบต่อการท่องเที่ยวทั้งนั้น ดังนั้น วันนี้เศรษฐกิจถึงจะแย่ แต่ก็เห็นด้วยว่าวันนี้เราต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งควรจะปรับในส่วนของภาคอุตสาหกรรม โดยการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ภาคการผลิต นอกจากนั้นต้องมีทักษะแรงงานที่สูงขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้นอย่างแน่นอน ตนดีใจที่รัฐบาลชุดนี้ มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และมีการพัฒนาเศรษฐกิจตัวใหม่ๆ และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นตามมา
ส่วนเรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น นายธนกร กล่าวว่า วันนี้ไม่ว่าจะเป็นระบบดิจิทัล หรืออนาล็อก ประชาชนไม่สนใจแต่สนใจเพียงอย่างเดียวว่าเงิน 10,000 บาทจะถึงมือเมื่อไหร่ แล้ววันนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาล ที่ทราบว่าจะจ่ายเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรลุงตู่” ที่ชาวบ้านเข้าใจ ถ้าจ่ายเงินสดไปก่อนในปลายเดือน ก.ย.หรือต้นเดือนหน้า ตนเชื่อว่ากว่า 14 ล้านคน ที่เป็นกลุ่มเปราะบางจะได้ประโยชน์ วันนี้ต้องยอมรับว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อนจริงๆ
“ไม่ว่าเงินจะหมุนกี่รอบ ไม่ว่าจะเป็นทอร์นาโด หรืออะไร จะเป็นแค่ความกดอากาศต่ำก็ตาม ผมเชื่อว่าประชาชนไม่สนใจ แต่สนใจแค่ว่า จะมาเมื่อไหร่ วันนี้กว่า 14 ล้านคนที่ถือบัตรจะได้ปี 67 ส่วนอีก 30 กว่าล้านคนในปี 68 ก็ว่ากันไป ผมไม่ขัดข้องเลย”
นอกจากนี้ นายธนกร ยังระบุว่า แต่ที่เป็นห่วงอยากจะฝากไว้ คือ เรื่องหนี้สาธารณะของไทย ตอนนี้ชนเพดานแล้ว ซึ่งปี 68 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 68% ซึ่งตามกรอบกำหนดไว้ที่ 70% จึงเป็นห่วงเรื่องความยั่งยืนด้านการคลัง ส่วนตัวเข้าใจเรื่องการใช้เงิน เพราะประชาชนเดือดร้อน ฉะนั้นรัฐบาลจึงต้องคิดเรื่องการหาเงินเข้าประเทศซึ่งต้องวางยุทธศาสตร์เช่นเดียวกัน ทั้งมาตรการภาษี หรือการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักต้องมีการปรับเรื่องการหารายได้ด้วย
ส่วนเรื่องพลังงาน นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายในด้านพลังงานด้วย จึงอยากให้รัฐบาลให้การสนับสนุนแนวคิดของนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีแนวคิดที่ดีมาก และทำมาแล้วเรื่องบันได 5 ขั้น การพลิกโฉมระบบพลังงานของไทย ,การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต, การตรึงราคาน้ำมันการปรับปรุงการค้าน้ำมัน, สร้างระบบสำรองทางยุทธศาสตร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แถลงในนโยบายของรัฐบาลแล้วซึ่งตนเห็นด้วย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องขอความร่วมมือจากสมาชิกรัฐสภา และรัฐบาลให้การสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซ ที่นายพีระพันธ์ุ ได้ร่างขึ้นมาแล้ว มีทั้งหมด 90 หน้า 180 มาตรา ซึ่งจะมีการปรับระบบราคาน้ำมันใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีการปรับราคาน้ำมันเพียงเดือนละ 1 ครั้ง และจะนำระบบคอสพลัส การคิดราคาต้นทุนที่แท้จริงมาใช้อ้างอิงราคาน้ำมันจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมโครงสร้างราคาน้ำมันแน่นอน ซึ่งอยากให้สมาชิกรัฐสภาทุกคนได้ฟังจากนายพีระพันธ์ุ ที่ได้ร่างเสร็จแล้ว และคาดว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนด้วย ซึ่งต้นทุนราคาน้ำมันลิตรละ 20 บาทเท่านั้น หากฎหมายนี้ออกมา ถ้าทำให้ราคาน้ำมัน 25 บาทต่อลิตรได้ เชื่อว่าประเทศไทยเจริญแน่นอน
“ขอให้กำลังใจรัฐบาล ไม่ว่าจะเจอแรงเสียดทานแบบไหนก็ตาม แต่ก็ต้องช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ซึ่งวันนี้นายกฯ และคณะรัฐมนตรีถือว่าได้แถลงนโยบายต่อสภาแล้ว สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว วันพรุ่งนี้ฝากลงพื้นที่ทันที ไปช่วยเหลือพี่น้องจังหวัดเชียงรายที่ลำบากจากสถานการณ์น้ำท่วมหนักมากจะไปเย็นนี้หรือพรุ่งนี้เช้าก็ได้ เพราะประชาชนรออยู่ จึงขอให้กำลังใจนายกฯ และรัฐบาลด้วย” นายธนกร กล่าว