ผักกาดหอม
เขาจะเอาไงกัน…
อีก ๒ วันรัฐบาลจะแถลงนโยบายแล้ว แต่ฝ่ายค้านยังยืนงงในดงกล้วยอยู่เลย
โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐฝั่งลุงป้อม
แต่ก็ควรงงอยู่ครับ เพราะวันก่อนเพิ่งจะโหวตให้ อุ๊งอิ๊ง เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่เลย ให้หลังไม่กี่วัน ถูกถีบออกมาแบบไม่ไยดี
ช่างโหดร้ายจริงๆ
ครับ…ถึงเวลาต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ทางพรรคประชาชน เขาบอกว่า ยังไม่มีเสียงตอบรับจากพรรคพลังประชารัฐว่าจะเอาไง ก็รู้สึกแปลกใจเล็กๆ ถึงขั้นนี้แล้วยังตัดสินใจกันไม่ได้อีกหรือว่าจะยืนอยู่ตรงไหน
คือ..มันเกี่ยวข้องกับการจัดสรรเวลาการอภิปรายครับ
หากพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่คุยกัน แล้วจะหาจุดลงตัวได้อย่างไร
แต่ยังมีเวลาเหลือพอที่จะทำให้มันชัดเจน
การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ชาติประชาชนได้ นั่นคือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
หากเอาแต่เพ้อรอวันเสียบเป็นรัฐบาล มันก็ไร้ประโยชน์
เสียเวลาของประชาชน
เบื้องต้นเขาประชุมวิปสามฝ่าย ประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน วุฒิสภา แบ่งเวลาการอภิปรายกันไปแล้ว
ใช้เวลา ๒ วัน ๒๙ ชั่วโมง
ประธาน ๑ ชั่วโมง
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ๖ ชั่วโมง
สว. ๔ ชั่วโมง ๓๐ นาที
พรรคร่วมรัฐบาล ๔ ชั่วโมง ๓๐ นาที
และ พรรคฝ่ายค้าน ๑๓ ชั่วโมง
๑๓ ชั่วโมงของฝ่ายค้าน ต้องสร้างประโยชน์ในฐานะฝ่ายตรวจสอบให้ได้
ยอมรับครับว่าเป็นห่วงฝ่ายค้านยุคนี้เป็นพิเศษ ว่าจะสามารถตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน
เป้าหมายการทำงานการเมืองของพรรคประชาชน ไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่นนัก ยกตัวอย่างการทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคก้าวไกลในรัฐบาลลุงตู่ เป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่มุ่งไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์
ฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลจึงพยายามแซะสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่ประชุมสภาทุกครั้งที่มีโอกาส
ไม่ว่าจะเป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล
การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
แม้กระทั่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
พบว่าบ่อยครั้งที่พรรคก้าวไกลเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้กองทัพและรัฐบาลเป็นจุดเชื่อมโยง
ครั้งนี้หากพรรคประชาชน ยังเดินในทิศทางเดิม ประชาชนก็ไม่ควรคาดหวังว่าพรรคประชาชนจะตรวจสอบรัฐบาลระบอบทักษิณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เผลอๆ อาจเห็นภาพการทอดไมตรีเพื่อการเมืองในอนาคตอีกต่างหาก เพราะระดับบนของทั้ง ๒ พรรค ไม่เคยตัดขาดจากกัน
สำหรับพรรคพลังประชารัฐฝั่งลุงป้อมวันนี้เหมือนดังสวรรค์แกล้ง ต้องมาร่วมงานเป็นฝ่ายค้านกับพรรคประชาชน ก็ควรยอมรับความเป็นจริง
ลืมความยิ่งใหญ่ในอดีตไปเสีย เพราะไร้ประโยชน์
“ทักษิณ” ตั้งใจปิดสวิตช์ “วงษ์สุวรรณ” มันคือการเอาคืนทางการเมือง รู้แบบนี้แล้ว พลังประชารัฐก็ควรเอาคืนระบอบทักษิณเป็นของขวัญให้ประชาชน
ไม่ได้ให้ไปฆ่าแกงกันนะครับ
แต่ให้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง
หากไม่มี สส.พรรคพลังประชารัฐลุกขึ้นอภิปรายติติง แนะนำ นโยบายรัฐบาลเลย ภาพที่ออกมาก็หนีไม่พ้นรอเสียบเช่นกัน
นี่แหละครับพรรคฝ่ายค้านในวันนี้ อาจะดูแปลกๆ ไม่คุ้นชินกันบ้าง แต่ความจริงทางการเมืองมันเป็นเช่นนี้ ก็ต้องทำใจกันในระดับหนึ่ง
วันนี้ยกนิ้วให้ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อีกครั้ง ดูเหมือนว่าช่วงหลังๆ มานี้ดวงตาเห็นธรรม มองการเมืองในมุมความเป็นจริงมากขึ้น
ชาวโซเชียลเขาแชร์คลิปที่ “ปิยบุตร” พูดถึง พรรคก้าวไกล เป็นคลิปก่อนยุบพรรคก้าวไกลไม่นานเท่าไหร่
เนื้อหาการพูดฟังแล้ว มันคือการเมืองนอกเหนือจินตนาการของพรรคสีส้ม
เพราะมันคือความจริงของการเมืองระบอบรัฐสภา
“…เราก็ต้องยอมรับ นี่ผมเตือน เดี๋ยวคนจะบอกว่าผมพูดเหมือนนางแบก
ต้องยืนยันว่าระบบรัฐสภาทั่วโลก ไม่ได้หมายความว่าพรรคที่ได้ที่ ๑ จะต้องเป็นรัฐบาลเสมอไป มันอยู่ที่คุณตั้งได้หรือตั้งไม่ได้
อย่างนายกฯ นิวซีแลนด์ ผมเข้าใจว่าเขาก็ไม่ได้ที่ ๑ แต่เขาตั้งได้ เพราะระบบรัฐสภา คือการรวมเสียงข้างมากในสภา
ก้าวไกลมีความชอบธรรมสูงที่สุดในการตั้งรัฐบาลก่อน เพราะคุณได้ที่ ๑ ตามธรรมเนียม แต่พอตั้งไม่ได้ หาไม่ได้ แล้วอีกข้างหนึ่งหาได้ แม้จะมี สว.พิเรนทร์โผล่มาด้วย ก็ว่ากันไป แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่ระบบรัฐสภา ต้องยึดว่า พรรคที่ได้ที่ ๑ อาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ได้ ถ้าคุณรวมเสียงไม่ได้
ดังนั้น เวลาเราบอกว่า ก้าวไกลชนะแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็มันรวมไม่ได้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญที่พิการ เพราะมี สว. แต่ก็เหมือนกัน
ผมพูดถึงการเลือกตั้ง ๒๕๗๐ ที่ไม่มี สว.มาโหวตนายกฯ แล้ว เกิดวันนั้นก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) ได้ ๒๐๐ กว่า แล้วคุณตั้งไม่ได้อีกจะทำยังไง
คุณมั่นใจได้ยังไงว่าครั้งหน้าคุณจะเกิน ๒๕๐ ถ้ามันไม่ถึง คุณจะเดินการเมืองเพื่อมัดตัวเองตั้งแต่วันนี้ทำไม
นี่คือที่คนที่ชอบการปฏิวัติ ในระบบรัฐสภา แต่ชวนให้คิดว่า ถ้าคุณอยากเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ โครงสร้างแบบนี้ ที่คุณยังไปไม่ถึงครึ่งหนึ่ง คุณจะทำยังไง
ถ้าคุณล่อตั้งแต่วันนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่างวดหน้าจะเป็นยังไง จะคุยกับใครได้ มันคือเล่นการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเองออกมา ถ้าคุณเล่นแบบนี้ คุณต้องเลิกคิดเรื่องนี้แล้ว
พูดง่ายๆ คุณเป็นรบทุกสนาม เพื่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ แต่ถ้ายังเชื่อว่า ๒๕๗๐ กำลังยังไม่พอ เราได้แค่นี้ ต้องคิดอีกมุมหนึ่ง ถ้าอยากเป็นรัฐบาล”
เอาเข้าจริงส่วนหนึ่งที่พรรคก้าวไกลโดดเดี่ยวตอนตั้งรัฐบาลก็เพราะอิทธิพลทางความคิดของ “ปิยบุตร” ในประเด็นยกเลิก ม.๑๑๒ นั่นเอง
แต่ดูเหมือนว่า “ปิยบุตร” เองก็เริ่มเปลี่ยนความคิด อิงปฏิวัติฝรั่งเศสน้อยลง หันมามองการเมืองในสไตล์เอเชียมากขึ้น
ล่าสุดเห็นว่าพยายามศึกษาการเมืองจีนอยู่
โอกาสที่พรรคประชาชนจะชนะเลือกตั้ง ถล่มทลายได้ สส.เกิน ๒๕๐ เสียง ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหลายพรรคเริ่มจับทางได้ และเริ่มรู้วิธีรับมือกับกระแสสีส้ม
ดูจากการเลือกตั้งท้องถิ่น แม้ไม่อาจสรุปได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการเลือกตั้ง สส. แต่พรรคคู่ต่อสู้พรรคประชาชนเริ่มมองเห็นวิธีการจัดการในพื้นที่เลือกตั้ง
ครับ…นี่คือการเมืองวันนี้ วันที่พรรคฝ่ายค้านถูกตั้งคำถามเรื่องความสามารถในการตรวจสอบรัฐบาล
ในวันที่ฝ่ายค้านไร้พรรคประชาธิปัตย์