ยุติธรรม “ที่รอคอย” มา ๙ ปี
คดีก่อการร้าย ปี ๕๓ ซึ่งมี ๒๔ แกนนำนปช.เป็นจำเลย ที่ชาวบ้านเรียก คดี “เผาบ้าน-เผาเมือง”
ก็ถึงวัน “ยุติโดยธรรม”
๑๔ สค.๖๒ ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา ว่า…
“ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีพยานใดยืนยันว่าการกระทำตามที่โจทก์นั้น
นปช.คนใดดำเนินการอย่างไร ที่จะเป็นความผิดก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๕/๑, ๑๓๕/๒ ที่จะมีเจตนาพิเศษ ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เพียงแต่นำสืบฟังได้ว่า….เป็นการ “ชุมนุมทางการเมือง” ที่เป็นกรณีเกิดความขัดแย้ง ของการเมืองไทยมาตั้งแต่ก่อนปี ๒๕๔๘ ในช่วงของรัฐบาล “นายทักษิณ ชินวัตร”
ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็เคยมีกลุ่มก่อตั้ง พธม.ซึ่งดำเนินการลักษณะของการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองลักษณะคล้ายกัน โดยในการชุมนุมของ นปช. ก็ได้ประกาศเปิดเผย โดยชัดเจนมาตลอดว่า ได้ดำเนินการรวมตัวกันโดยสงบสันติและปราศจากอาวุธ
วันที่เกิดเหตุการณ์ในแต่ละสถานที่นั้น ขณะที่หากมีการกระทำผิดเป็นรายบุคคล ก็ต้องพิจารณาดำเนินคดีเป็นรายๆ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมา จึงยังไม่เพียงพอฟังได้ว่ากระทำผิด”
สาธุ….
-รวมตัวกันโดยสงบสันติและปราศจากอาวุธ
-เป็นการชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่การการก่อการร้าย
-ไม่มีพยานยืนยันว่า มีเจตนาพิเศษ ถึงขนาดเปลี่ยน แปลงการปกครอง
-ยกฟ้อง
-หากมีการกระทำผิดเป็นรายบุคคล ก็ต้องพิจารณาดำเนินคดีเป็นรายๆ
ครับ..ค่อยๆ อ่านๆ ค่อยๆ ตรอง อย่าใช้อารมณ์และความรู้สึกตัวเองทึกทักอย่างนั้น-อย่างนี้
เมื่อศาลตัดสินเช่นนี้ ถือว่า “ชอบแล้ว”
ในทัศนะผม คำตัดสินนี้ ครอบคลุมทั้ง ๓ ด้าน คือด้านนิติศาสตร์ ด้านรัฐศาสตร์ และด้านธรรมศาสตร์
สังคมประเทศ ตกหล่มจมอยู่ในความขัดแย้ง “เหลือง-แดง” มาเป็นทศวรรษ
คนไทยด้วยกัน แบ่งพวก-แบ่งฝ่าย ก็เห็นกันแล้วว่า ไม่มีใคร-ฝ่ายไหน ได้ประโยชน์
ตั้งแต่ระดับบุคคล เรื่อยขึ้นไปถึงระดับครอบครัว ระดับเพื่อนฝูง ระดับองค์กร จนถึงระดับชาติ
ไม่มีใครได้อะไรเลย มีแต่เสียทุกคน-ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ “ประเทศชาติ” อันเป็นส่วนรวม
เราแตกแยก-แบ่งฝ่าย และกินใจกันมานาน จนยากหาจุดบรรจบ เพื่อคืนสู่หนหลังที่เคยอยู่ร่วมกันฉันท์พี่-ฉันท์น้องร่วมชาติ
เมื่อ “ศาลสถิตยุติธรรม” มีคำพิพากษากอปรด้วย “แง่คิด” กับทุกฝ่ายเช่นนี้
เราทั้งหลาย เหนือ-ใต้-กลาง-ออก-ตก-อีสาน-ตะวันออก
“พี่น้องไทย” ด้วยกันทั้งนั้น
ประเทศชาติ-บ้านเมืองเรา “เสียโอกาส” เพราะพวกเรามัวทะเลาะกันนานเกินพอแล้ว
พวกเรา ทำใจนิ่งๆ ใช้สติทบทวน ในความเป็นชาติ ในความเป็นพี่น้องร่วมชาติ แล้วใช้โอกาสจากคำตัดสินศาลนี้
release ข้อมูลบาดหมางในใจ ทิ้งไปให้หมด
พวกเรา “ดีก็วัด-เลวก็วัด” คือมีพระอยู่ในใจกันทั้งนั้น จำคำแผ่ส่วนบุญ-ส่วนกุศลได้ใช่มั้ย
นั่นแหละ release ข้อมูลเก่าทิ้งไป แล้วเปิดใจชาร์ตพลังให้กันและกัน
สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอพวกเราพี่น้องไทยทั้งปวงจงเป็นผู้ถึงความสุข
สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
ขอพวกเราพี่น้องไทยทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร
ศาลตัดสิน “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” ขณะนี้ เราสู่แผ่นดินใหม่
ใต้พระบารมี “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๑๐
ในวาระนี้ ทุกสี-ทุกฝ่าย ที่เคยแบ่งแยกกัน สมควรยิ่ง ที่จะถือโอกาสนี้ “จงเป็นผู้ไม่จองเวรต่อกัน”
เป็นกุศลใหญ่ เพื่อน้อมเกล้าถวายเนื่องในวาระ “สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า” ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษก เมื่อพฤษภาคม นั้นเถิด
ละกระพี้ คือตัวตนแต่ละคน-แต่ละฝ่ายทิ้งไป ให้เหลือแก่นเดิม คือความเป็นพี่น้องไทยร่วมแผ่นดิน
แล้วผนึกเป็นหนึ่ง ปรึกษาหารือกันถึง “สถานการณ์โลก-สถานการณ์บ้านเมือง” ที่เป็นอยู่ขณะนี้
เหมือนประเทศชาติป่วย…..
ลูกๆ คือเราทุกคน จะช่วยกันรักษาพยาบาลให้กลับมาแข็งแรงได้ทางไหนบ้าง?
แล้วช่วยกัน “คนละไม้-คนละมือ” เพราะวิกฤตโลกตอนนี้ มีช่องเป็นโอกาสที่พวกเราจะช่วยทำให้ประเทศเราเป็น “เศรษฐีสงคราม” ได้เยอะแยะ!
เราอย่าเป็นเหยื่อสถานการณ์ หรือเหยื่อบุคคลที่ปั่นเราให้แตกแยก เพื่อเขาจะได้ตักตวงผลประโยชน์จากที่เราแตกแยกอีกต่อไปเลย
รอบๆ บ้านเราตอนนี้ ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ คุ้ย “แผลเป็น” ในอดีตมาทะเลาะกัน ตอนนี้ เสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปทั้งคู่
ฮ่องกง ใครๆ ก็บอกว่า “ฮวงจุ้ยดี ค้าขี้ก็เป็นทอง”
รวยแล้ว คนรุ่นใหม่อยากทิ้งกำพืดจีน ชูธงอเมริกัน-อังกฤษ ร้องเพลงชาติ อเมริกัน-อังกฤษ เป็นฝรั่งตาตี่
เลยเข้าล็อก “สหรัฐ-อังกฤษ” ส่งเสริมม็อบชังชาติ บ้านตัวเองพังหนนี้แล้ว ไม่รู้จะฟื้นได้เมื่อไหร่?
ถึงฟื้น คิดหรือว่า “แผ่นดินใหญ่” อันเป็นแผ่นดินแม่ จะปล่อยให้อยู่กันตามใจเหมือนเดิม
เป็นตัวอย่างให้เรามอง มองแล้วย้อนนำมาคิด นำมาทบทวนกับบ้านเมืองของเรา
มันวิกฤติในโอกาสสำหรับเราหลายด้านๆ มิใช่หรือ แตกแยก-ทะเลาะกัน นอกจากเสียโอกาส ยังนำวิบัติสู่บ้านเมือง
บ้านเมืองวิบัติ…แท้จริงแล้ว ใครล่ะที่วิบัติ?
ก็ “พวกเราทุกคน” ในแผ่นดินนี่แหละ!
บ้านเมืองผู้คนแตกแยก-แบ่งฝ่าย ที่ไม่มีใครได้อะไรเลย นั้น
มีตัวอย่างสะท้อนให้เห็น จากข้อความที่ “ขวากลางไม่ดัดจริต” โพสต์ fb ไว้ ผมจะลอกมาให้อ่าน ดังนี้
“ขวากลางไม่ดัดจริต”
ฝ่ายแค้นจะแก้รัฐธรรมนูญก่อน แต่ทหารบอกต้องช่วยคนป่วยก่อน
…..จากเหตุโรงพยาบาลสุรินทร์ประสบปัญหาน้ำใช้ภายในโรงพยาบาลนั้น
ผู้แทนสังกัดฝ่ายแค้นในพื้นที่ก็กำลังสาละวนกับการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้พรรคพวกพ้นผิด โดยไม่หันกลับมาดูดำดูดีคนที่เลือกไป
แต่รัฐบาลและทหารบอก ต้องช่วยประชาชนก่อน เรื่องอื่นไม่สำคัญ เพราะเป็นเรื่องของนักการเมืองเสียประโยชน์
…..หน่วยทหารพัฒนา ได้ทำการเดินท่อแล้ว นำน้ำระยะทางประมาณ 2.5 กม.และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน 8 บ่อ มีเอกชนร่วมด้วย 4 บ่อ
และวางระบบกรองน้ำใหม่ทั้งหมด เสร็จสมบูรณ์แล้ว..สามารถป้อนน้ำให้ รพ.สุรินทร์ และวิทยาลัยพยาบาลได้
โดยน้ำผ่านกรองลงถังเก็บน้ำวันละ 960 ลูกบาศก์เมตรฯ เพียงพอต่อการใช้งาน ผู้บังคับบัญชาทหารระบุว่า
“ถือว่าเราปิดทองหลังพระ ทำงานช่วยประชาชน ทำงานทั้งวันทั้งคืน เพราะรู้ว่าประชาชนเดือดร้อน โดยเฉพาะผู้ป่วยนั้น รอไม่ได้ ทุกคนอิ่มใจ ที่ได้ทำงานนี้”
…..เออ..กลับตาลปัตรหมดประเทศนี้ ผู้แทนในพื้นที่หายหัวไม่สนใจช่วยเหลือประชาชนที่เลือกมา
เพราะวุ่นวายกับแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพวกตัวเอง แล้วยุให้ประชาชนด่ารัฐบาลและทหาร
…แต่ทหารกลับทุ่มเททั้งวันทั้งคืนช่วยเหลือโรงพยาบาล คนป่วย และประชาชน
ขวากลางไม่ดัดจริต
#ไม่แก้รัฐธรรมนูญ
ครับ…..
ก็ฝากทั้งสาธุชนและทุรชนช่วยกันใคร่ครวญ ไม่เพราะพวกเรา..ชาวบ้าน
ยอมให้เขา “มอมหน้า” เพื่้อโกรธแค้นกัน แล้วทะเลาะกันเพื่อประโยชน์พวกเขาดอกหรือ?
เขา…ไม่เดือดร้อน
แต่…เรา
ทั้ง “น้ำแล้ง-น้ำล้น” เขาคนนั้น เคยช่วยมั้ย?