ผักกาดหอม
เปียกและแฉะครับ
ทั้งการเมือง เรื่องตั้งรัฐบาล และน้ำท่วมเหนือกำลังไหลลงภาคกลาง
เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายตัวทั้ง ๒ กรณี
ตั้งรัฐบาลเที่ยวนี้พิเศษหน่อย เพราะนอกจากมีฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านแล้ว ยังมีฝ่ายค้านในรัฐบาล และฝ่ายรัฐบาลในฝ่ายค้าน
ถูไถกันไปแบบนี้
แต่จะไปได้กี่น้ำ บอกไม่ถูก อยู่ที่ฝ่ายค้านในรัฐบาล และฝ่ายรัฐบาลในฝ่ายค้าน เขาจะเอาไงกับอนาคตทางการเมือง
เรื่องของพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่จบ
ฝั่งประชาธิปัตย์นั้น ร่วมรัฐบาล ๒๑ คน อีก ๔ คน นำโดยนายหัวชวน ต้องวางบทบาทตัวเองให้ชัดว่า การเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลนั้น จะทำงานการเมืองในสภาอย่างไร
จะโหวตสวนรัฐบาลทุกกรณี
หรือจะดูเป็นเรื่องๆ ไป
โดยเฉพาะวันหนึ่งเกิดขึ้นแน่ๆ คือญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี หากเจอแจ็กพอต “มิสเตอร์ต่อเดช” ถูกซักฟอก จะทำอย่างไร
จะหนุน
จะสวน
หรืองดออกเสียง
จะว่าง่ายก็ง่ายครับ ว่ายากก็ยาก
งานของประชาธิปัตย์ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะกลุ่มก้อนชัดเจน ดีเอ็นเอคนละตัว จึงแยกไม่ยากเท่าไหร่
แต่พลังประชารัฐ ไม่ได้เป็นแบบนั้น
น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม ไปได้หมด
ยิ่งกว่า “หมอคางดำ”
ภาพรวม สส.พลังประชารัฐ แบ่งเป็น ๒ กลุ่มชัดเจน
คือกลุ่มลุงป้อม บ้านป่าฯ
กับกลุ่มธรรมนัส บ้านจันทร์ส่องหล้า
แต่ก็มีซ้อนไปซ้อนมาใน ๒ กลุ่ม ผัวอยู่กลุ่ม เมียอยู่กลุ่ม จำแนกยากมาก
สถานะพรรคพลังประชารัฐ ณ วันนี้ยังถือเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่
อย่างน้อยๆ ก็ซีกหนึ่งเป็นแน่ๆ
ส่วนอีกซีกเป็นได้ทั้งฝ่ายค้านในรัฐบาล และฝ่ายรัฐบาลในฝ่ายค้าน
พลังประชารัฐมี สส. ๔๐ คน
กลุ่มธรรมนัสบอกว่าตัวเองมี สส. ๒๙ คน
ส่วนบ้านป่าฯ บอกมี สส.ในสังกัด ๒๕ คน
รวมแล้วมันเกินมาตั้ง ๑๔ คน
ก็เลยไม่รู้ว่าใครจะอยู่ฝั่งไหน
เป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล หรือรัฐบาลในฝ่ายค้าน
กรณีของพลังประชารัฐน่าจะจบลงด้วยซีกบ้านป่าฯ เป็นฝ่ายค้าน ส่วนขั้วธรรมนัสร่วมรัฐบาลโดยมีชื่อรัฐมนตรีกาฝากร่วมใน ครม.
เพื่อเลี่ยงประเด็นข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ
และมติกรรมการบริหารพรรค
เป็นการพลิกเกมโดยที่ฝั่งบ้านป่าฯ แทบจะหมดสิทธิ์ตอบโต้ นอกจากถอยไปปรับกระบวนทัพใหม่
“นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” หัวหน้าพรรคกล้าธรรม เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์
“อัครา พรหมเผ่า” น้องชาย ร.อ.ธรรมนัส เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ มาในโควตาพรรคเพื่อไทย
“อิทธิ ศิริลัทธยากร” เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ มาในโควตาคนนอก
ทั้ง ๓ กรณีจึงไม่มีพรรคพลังประชารัฐมาเกี่ยวข้อง
และกลุ่มธรรมนัส มิได้เสนอทั้ง ๓ รายชื่อในฐานะพรรคพลังประชารัฐ
คนที่แบ่งแยกแล้วปกครองนับว่าฉลาด
ทั้งประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ ตกอยู่ในสถานะที่คล้ายกัน ถูกอดีตนักโทษคดีคอร์รัปชันจับแยกแล้วครอบครองเรียบร้อย
ภาพ “ธรรมนัส” ไปโผล่ที่อาคารชินวัตร ๓ หอบเอา “ชูชาติ รักจิตร” อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วยรองอธิบดีไปด้วย ตามข่าวบอกว่าเข้ารายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย
ก็ตามนั้นแหละครับ
เพียงแต่หากวันนี้ไม่มีน้ำท่วม อธิบดีกรมชลประทานคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นตึกชินฯ
เป็นเรื่องน้ำท่วมในสถานการณ์การเมืองครับ
การเมืองเป็นหลัก
น้ำท่วมเป็นรอง
ไปจ๊ะเอ๋ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่นั่นด้วย
คิดว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ภูมิธรรม ธรรมนัส จะพูดถึงน้ำท่วมสุโขทัยตลอดเรื่องหรือ
ไม่คุยเรื่องรายชื่อรัฐมนตรีแม้คำเดียวอย่างนั้นหรือ
ครับ…น้ำท่วมก็ท่วมไป นักการเมืองก็ตั้งรัฐบาลไป แต่จะเป็นรัฐบาลหมอคางดำ มีทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย น้ำจืด
ครบทุกรส
มาถึงประเด็นสำคัญ ทำไม “ทักษิณ” ถึงยอมตั้งรัฐบาลลักษณะนี้
แค่ยอม “ลุงป้อม” ดึง “ประชาธิปัตย์” ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ แถมได้ สส.เข้ารัฐบาลเป็นกอบเป็นกำ
จะเว้นก็แค่ ๔ สส.อาวุโสจากประชาธิปัตย์ ที่ประกาศไม่ทรยศประชาชน
ทางเลือกที่จะผ่าซีกพลังประชารัฐ
การกวาดต้อน สส.เข้าคอก คือการวางรากฐานให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง สำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป
ที่ “ทักษิณ” ประกาศว่า เลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยจะมาที่ ๑ อย่าประมาทเชียว
การได้ สส.จากพลังประชารัฐกว่า ๒๐ เสียง ไปเติมกับของเก่า ณ เวลานี้ ถือว่ามี สส.มากเป็นอันดับ ๑ ในสภา
ระหว่างนั้นหากเลี้ยงดูดี อิ่มหมีพีมัน จะมีการ “ไหล” เป็นระยะๆ
“ลุงป้อม” จะไหวหรือเปล่าไม่ทราบ
แต่ใช้ใจบันดาลแรงมันไม่พอ
แรงไม่มา
สู้แรงดูดไม่ได้แน่
พรรคอื่นก็ระวังตัว
แผนควบรวมพรรคมาแน่
ตามยุทธการขโมยนั่งร้าน