“ปิดกรุงเทพฯ”
เจตนาให้คนอยู่บ้าน หวังสะกัดโควิด โคจร
แต่การณ์ตรงกันข้าม….
มาตรการปิดกรุง กลายเป็นตัวผลักดันให้พี่น้องแรงงาน ไทย เขมร พม่า ลาว ทะลัก-ทะลาย “ยังบ้าน-ยังเมือง”โควิด มีหวังถ้วนทั่วไทยและบ้านใกล้เรือนเคียงละตานี้!
รัฐบาลเครียด……..
สาธารณสุขก็เครียด ถึงขั้น “นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์” รองปลัดสธ.เรียกสถานการณ์ช่วงนี้ น่ารักเชียว ว่า
Golden Period
จากช่วง Golden Period คือระยะนี้ คุณหมอให้สาธุชนอารยะไทย “เลือกเอา” ว่า
อยากให้ประเทศเราเป็นแบบ อิตาลี อิหร่าน ที่สนุกสนานมิดด้าม ขอร้องก็แล้ว ออกมาตรการก็แล้ว แต่ไม่สน
ลงท้าย ฝังเท่าไหร่ๆ ก็ฝังไม่หมดซักที!
หรืออยากเป็นแบบญี่ปุ่น,ไต้หวัน ที่ตัวเลขป่วยพุ่งเหมือนจรวด
แต่ด้วยประชาชนมีวินัย ไม่แหกกฎ-แหกมาตรการรัฐ
ที่พุ่งก็เบนหัวลงแนวราบ สู่สถานะ “เอาอยู่”!
นี่…..
พวกตามใจคือไทยแท้ ชอบแบบไหน เลือกเอาตามใจชอบเลยนะ
ตอนนี้ ตัวเลขป่วยของเรา “หลักพัน” เป็นที่หวังได้อยู่แล้ว ณ วันที่ ๒๓ มีค. ก็ปาขึ้นไปถึง ๗๒๑ รายแล้ว
ระดมโพสต์กระหน่ำเมนท์ด่ารัฐบาลตามออรเดอร์ไปเรื่อยๆ เถอะ อีกซัก ๒-๓ เดือน ตายหลักแสน ป่วยหลักล้าน
ได้สะใจควายส้ม-ควายแดงแน่!
กลัวอย่างเดียว ที่ล้มนั้น มันจะพรึ่ดไปด้วยแดงอมส้ม, ส้มอมแดง นั่นละนา
สำหรับผม ไม่ต้องการเป็นกูรู ที่ชอบทำนายล่วงหน้าชอบมองตามเหตุปัจจัยในสถานการณ์จริงมากกว่า
อย่างที่เครียดกันว่า โควิดจะระบาดหนัก จากแรงงานที่เป็น “ผึ้งแตกรัง” กระจายไปต่างจังหวัด
ผมกลับไม่เครียด!
เพราะไม่รู้จะเครียดทำไม กับสิ่งที่เป็นไปแล้ว มิสู้มองไปในมุมบวก จะไม่เกิดประโยชน์มากกว่าหรือ?
มองบนสมมุติฐานว่า……..
พี่น้องจากชนบทเหล่านั้น “กาย-ใจ-สภาวะแวดล้อม” ได้สมดุลทางธรรมชาติ มาแต่ดั้งเดิม
และนั่น หล่อหลอมพวกเขา ให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานพิเศษในตัว จึงสังเกตเห็นได้ว่า
บรรดาไฮโซ-โลซก ตีนไม่เคยย่ำโคลน ไม่เคยเหยียบน้ำค้างยอดหญ้า เจอโควิด ป่วยกันคึ่กๆ
แต่คนมาจากท้องไร่ ท้องนา ท้องสวน ชิงความเร็วกับเชื้อโรคแย่งกินของตกพื้น-ตกดิน โควิดขวิดเข้าซักกี่มากน้อย?
เมื่อมองบวกอย่างนี้แล้ว ก็มองผ่านภาพคนเป็นหมื่นยัดทะนานกันที่สถานีรถบขส. ผมไม่ระทึกเรื่องโควิด
เพราะคนเหล่านั้นมีภูมิต้านเป็นปฐมอย่างหนึ่ง และอีกอย่าง เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต
เมื่อเรารักชีวิต เขาก็รัก ไม่อยากติดโควิดเหมือนเรา ดังนั้น ก็สบายใจได้อีกเปลาะ เพราะส่วนใหญ่ เขาสวมหน้ากากอนามัยกัน!
รัฐบาล โดย นายกฯประยุทธ์ รัฐมนตรีมหาดไทย “พลเอกอนุพงษ์” ครับ
นี่แหละ Golden Period ของการทดสอบ “อำนาจบริหารท้องถิ่น” ตามหลักการกระจายอำนาจหละ
ที่ผ่านมา อำนาจกระจายไปแล้วก็จริง
แต่ที่เป็นจริง………
ไม่ใช่กระจายเพื่อให้ใช้อำนาจนั้น เกิดประสิทธิภาพทางบริหารและปกครอง เพื่อประสิทธิผลผู้คนในท้องถิ่น
แต่มันเป็นว่า ที่กระจายไปนั้น ไปเป็นตัวแทนของอำนาจที่กระจุกอยู่ในศูนย์กลาง
ดังนั้น…….
สถานการณ์โควิดนี่แหละ ควรใช้เป็นบททดสอบศักยภาพจริงของการปกครองท้องถิ่น เหมือนฝึกความพร้อม “คอบร้าโกลด์” ประมาณนั้น
คนหลายหมื่นกระจายลงท้องถิ่น แต่ละจังหวัด จะบริหารปัญหาตามมาตรการรัฐอย่างไร?
แต่ละท้องที่ ใครมาบ้าง ใครป่วยบ้าง จะต้องกักตัว ๑๔ วันอย่างไรบ้าง และจะบริหารชีวิต อาชีพ การงาน ที่เรียกอนาคต ของเขาอย่างไร?
มันเป็นการทอดสอบภาวะผู้บริหารท้องถิ่น ชนิดที่ “หาโอกาสยาก” ที่จะมีเคสอย่างนี้ให้ทดสอบ
ยิ่งตามชายแดน ทั้งด้าน เขมร พม่า ลาว ปิดกรุงเทพฯ ๒๒ วันปุ๊บ แห่กลับประเทศแน่นชายแดนปั๊บ นั้น
ออกชายแดนไป ออกไปแบบ แข็งแรง-ไร้โควิด
ก็ต้องระวัง…..
ตอนกลับเข้ามา มีมาตรการอะไรคัดครอง-รองรับ ว่าแรงงานต่างชาติ จะไม่กลับเข้ามาแบบ พกโควิดติดเข้ามาด้วย!
ถึงบทรัฐมนตรีมหาดไทย “ต้องเข้ม” แล้ว
และนี่ เป็นสัญญานเตือนให้รู้ว่า ประเทศไทย จะเก่าๆ เดิมๆ ทางบริหารและปกครอง “รวมศูนย์”
ประเทศไปไม่รอดแน่!
การลอกคราบประเทศสู่ศตวรรษที่ ๒๑ จะให้สวย-หล่อ มันก็ต้องบริหาร-ปกครองแบบกระจายอำนาจนี่แหละ
แต่ไม่ใช่กระจายแบบท้องถิ่นเป็นเมืองขึ้นอำนาจส่วนกลางทั้งในและนอกระบบการเมืองอย่างทุกวันนี้!
สรุปว่า…….
เราอย่าเพิ่งตีตนก่อนไข้ ว่าคนที่ถอยทัพกลับท้องถิ่นนำเชื้อไประบาด
มองบวกไว้อย่างนี้ จะได้ไม่พะว้า-พะวัง ยิ่งมองต่อไปว่า การเฉลี่ยผู้คนที่ยัดเยียดอยู่ในกรุง กระจายออกไปบ้าง
กรุงเทพฯโล่งๆ ลดระดับเสี่ยงไปได้อีกเยอะ!
โควิดน่ะ ยอมรับว่าน่ากลัว แต่อย่ากลัวจนล้นเกิน อะไรที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ทั้งที่ป้องกัน-ระวังดีแล้ว
จะติด มันก็ต้องติด
ไม่ติด ยังไงๆ มันก็ไม่ติด!
ผมคิดตามหลักว่า ในโลกนี้ ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่าง ถูกกำหนดมาแต่เกิดแล้ว จะเป็นก็ต้องเป็น จะตายก็ต้องตาย
ยัง กัมมัง กะริสสันติ ใครทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ดีก็ตาม ทรามก็ตาม
ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น
นี่แหละ……..
ยึดตามหลักเหตุและผล จะช่วยให้คลายเครียด คลายวิตก ไม่โทษ ไม่ตีโพยตีพาย ตั้งสติ พิจารณาหาทางเยียวยา ป้องกัน แก้ไข ระวัง เพื่อทางข้างหน้าต่อไป
ที่กระจายกันออกไป เขาก็มีเหตุปัจจัยชีวิตของเขา ดังนั้น อะไรเกิดกับตัวเขา นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วแต่แรก
อย่างตอนนี้ มีคน “หาเหตุ” กับทหาร จะรับผิดชอบอย่างไร กับที่สนามมวยลุมพินี เป็นตัวเหตุให้โควิดแพร่กระจาย?
มันไม่ใช่ อย่าพูดด้วยทัศนะอคติเช่นนั้นเลย
อย่างไวรัสตัวนี้ คนทั้งโลกเรียก “โควิด-๑๙” แต่สหรัฐฯกลับพยายามเรียก “ไวรัสจีน”
เชื้อไฟสุมประเทศ ตอนนี้ก็มากเหลือรับอยู่แล้ว
แล้วเรื่องอะไรจะต้องสุมเชื้อเรื่องคนคนติดไวรัสจากไปดูมวยที่ลมพินีมาเป็นประเด็นให้คนด่าทหาร-ด่ากองทัพอีก?
แฟล็ชม็อบ ทำนักศึกษาติดเชื้อไป ๒ มหา’ลัย คนจากต่างประเทศ นำเข้ามาไม่รู้กี่สิบ
คนกิน-คนเที่ยวผับ บาร์, คนทำงาน, คนเฝ้าไข้ และอีกต่างๆสาเหตุ
ก็ไม่มีใครตั้งใจ อยากให้ติด ให้แพร่ และโควิด มันมาจากไหนทุกคนก็ไม่รู้เหมือนๆกัน
แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว การชี้หน้าโทษใครเป็นการเฉพาะ ดูจะคับแคบมากไป
สรุปแล้ว……..
มนุษย์ทั้งโลก “ก็เช่นนี้แหละ” เหมือนกันหมด เห็นแก่ตัว ดื้อรั้นด้วยมิจฉาทิฐิ ยึดประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง เห็นได้ชัด เมื่อ “ภัยตาย” ใกล้ถึงตัว!
จะต้องถึง “พรบ.สถานการณ์ฉุกเฉิน” หรือจะต้องถึง “พักใช้รัฐธรรมนูญ” บางมาตราหรือไม่?
เมื่อพูดไม่ฟัง “สงบ-สามัคคี” กันซักขณะก็ยังไม่ได้ สิ่งไหน เป็นไปเพื่อการ “สงบระงับ”
สิ่งนั้น “ใช่” ทั้งนั้น!