“ไอ้คางดำ” รนหาที่ตาย #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

ตอนนี้….
คนไทยกำลังตื่นกับกองทัพ Alien Species “ปลาหมอคางคำ” ที่บุกยึดแม่น้ำ-ลำคลองหลายจังหวัดภาคกลางปานสายฟ้าแลบ

มันเป็นใคร มาจากไหน เล็ดลอดเข้ามาได้อย่างไรและทางไหน การข่าวยังสืบทราบไม่แน่ชัด

รู้แต่ว่า เจ้าเอเลี่ยน “คางดำ” นี้ มันร้ายนัก ทั้งอึด ทั้งถึกทั้งโหด ทั้งอำมหิต ทั้งหิวโหย เขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า

นักการเมืองยังสยอง!!!

มันเหมือน “กองทัพผีดิบ” เอาแห เอาอวน เอาโพงพาง มาช้อนมันขึ้นไปเป็นตันๆ แต่เข้าตำรา “ตายหนึ่งเกิดแสน”

ยิ่งจับไปทำอาหารป่น อาหารคน อาหารสัตว์ ยิ่งเกิด มากันหัวดำมืด ยึดแม่น้ำลำคลอง

หวั่นเกรงกันว่า ลำพังสปีชี่ส์ “ไอ้คางเหลี่ยม” เขมือบยังวุ่นวายขายกระจาดขนาดนี้

ถ้าไม่หาวิธีกำจัดสปีชี่ส์ “ไอ้คางดำ” ให้มันสิ้นสูญสกุลไป คนไทยเจอทั้งไอ้คางเหลี่ยมและไอ้คางคำ
มีหวัง “คางเหลือง” กันทั้งประเทศแน่!

มันบุกกิน ลูกปลา ลูกกุ้ง ลูกหอย ต่อไปคงกินเมือง สัตว์บก เสร็จไอ้คางเหลี่ยม สัตว์น้ำ ยกแม่น้ำ-ลำคลอง-หนอง-บึง ให้ไอ้คางดำ

“คางเหลี่ยม-คางดำ” ยกให้มันแบ่งกันเป็นราชันย์ครองไปเลย!

แต่ผมว่า เราอย่าเพิ่งแตกตื่น-ตกใจกันไปนัก ปล่อยให้มันกำแหงลำพองไปซักพัก
เดี๋ยวเหอะ…รอให้คนไทย “ตั้งสติ” ได้ซักหน่อย แล้วมันจะรู่ซึก!

เข้ามาอาละวาดที่ไหน ดันไม่ไป เสือกมาอาละวาดในเมืองไทย มึงรู้จักแก่นแท้คนไทยน้อยไปซะแล้ว

สมัยก่อน “ตั๊กแตนปาทังก้า” เข้ามาระบาด มันร้ายขนาดบินทำคาร์บอมบ์ใส่เครื่องบินตกได้ทั้งลำ

มันมากันทีเป็นล้านๆ ตัว บินข้ามทวีป-ข้ามประเทศ ด้วยความเร็ว ๑๕๐ กม./ชม.

ด้วยแสนยานุภาพของมัน พอลง พริบตาเดียว หมื่นไร่-แสนไร่ เหลือแต่ตอ-แต่ซังโด่เด่!

“ดร.วีรพงษ์ รามางกูร” เคยเขียนไว้ใน “ประชาชาติธุรกิจ” ตอนหนึ่งว่า

“…………ตั๊กแตนปาทังก้าเคยมาเยือนประเทศไทยแล้วเมื่อ ๓๕ ปีก่อน สมัยป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี

ยังจำได้ว่า ตั๊กแตนปาทังก้า ระบาดเข้ามาจากกัมพูชา แถบจังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี

เข้ามากินต้นข้าวโพด ต้นข้าว รวมทั้งมันสำปะหลังที่ยางมีไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารพิษก็ไม่เว้น

ทางการจึงประกาศเป็น “เขตตั๊กแตนระบาด” และเตรียมใช้เครื่องบินขึ้นบินพ่นยาฆ่าแมลง
ปรากฏว่า “ไม่ผ่าน”

เพราะ “ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ขณะนั้นคือ “ดร.เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์” นำเรื่องเสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่จะใช้ยาฆ่าแมลงปราบตั๊กแตนปาทังก้า

เพราะได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรและชาวบ้าน “ขอให้ระงับการใช้ยาฆ่าแมลงพ่นปราบตั๊กแตน”

เพราะชาวบ้านสามารถจับตั๊กแตนมาทอดขาย ได้ราคาดีกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

เกิดรถเข็น แผงลอย ทอดตั๊กแตนขาย ริมถนน ซึ่งถ้าสมัยนี้ ก็คงเรียกว่า “สตรีตฟู้ด”

ขายกันทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ และธนบุรี เช่น ที่ตลาดประตูน้ำ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ตลาดย่านบางลำพูและที่อื่น
ขายดิบขายดี มีน้ำจิ้มให้พร้อม

ต่อมาก็มีข่าวว่า ชาวบ้านค้นพบว่า ตั๊กแตนวางไข่ไว้ที่ใต้ดิน รอฟักเป็นตัวในฤดูฝนต่อไป

ชาวบ้านจึงขุดเอาไข่ตั๊กแตนมาทอดขาย ราคาต่อขีดแพงกว่าตัวตั๊กแตนขึ้นไปอีก

คนไทยที่ชอบรับประทานตั๊กแตนปาทังก้ากว่าแมลงอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นคนไทยอีสานที่มาอยู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

ต่อมา ชาวไร่ข้าวโพด ก็จัดการปลูกข้าวโพดไว้ล่อตั๊กแตน โดยประมาณเอาว่า ตั๊กแตนที่วางไข่ จะฟักออกมาเป็นตัวพอดีกับข้าวโพดโตเต็มที่ ก่อนออกฝัก

รัฐบาลจึงประกาศเลิกพ่นยาฆ่าตั๊กแตน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าไม่มียาฆ่าแมลงหลงเหลืออยู่ในตัวแมลง

และแนะนำว่า ถ้าแมลงตั๊กแตนมีมากเกินไป คั่วหรือทอดไม่ทัน ก็ให้หมักทำเป็น “น้ำปลาตั๊กแตน” แทนน้ำปลากุ้ง

เพราะตั๊กแตนกับกุ้งแม่น้ำ กุ้งน้ำกร่อย และกุ้งทะเลขนาดเล็กและขนาดกลาง ต่างก็เป็นสัตว์ “สายพันธุ์เดียวกัน” เมื่อหลายล้านปีก่อน

แต่สายพันธุ์หนึ่งลงน้ำ พัฒนาตัวเอง “เป็นกุ้ง”
อีกสายพันธุ์หนึ่ง พัฒนาเป็น “แมลงมีปีก” บินได้

ทั้งกุ้งและตั๊กแตน มี ๘ ขาเหมือนกัน!

แต่โครงการทำน้ำปลาจากตั๊กแตนไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อชาวบ้านขุดหาไข่ตั๊กแตนมาบริโภค
ไม่นานตั๊กแตนก็สูญพันธุ์หายไปจากประเทศไทยมาจนบัดนี้

ความรู้อย่างหนึ่งที่ได้จากประสบการณ์ตั๊กแตนปาทังก้าระบาด เมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อนก็คือ

แมลงนั้นเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ โดยเพาะสัตว์ปีก มีโปรตีนสูง แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นอันตราย เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดแพร่หลายได้อย่างรวดเร็ว

เช่น ปาทังก้า ที่สามารถกัดกินพืชผลทั้งล้มลุกและยืนต้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับได้ความรู้จากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในครั้งนั้นว่า

“อะไรก็ตามที่คนกินเป็นอาหารได้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ไม่มีทางระบาดได้นาน”

เพราะมนุษย์ “จับกินหมด” ยิ่งคนไทย คนอีสาน คนลาว ซึ่งชอบรับประทานของแปลกๆ อยู่ด้วยแล้ว”
………………………..

นั่นตั๊กแตนปาทังก้า ที่วิญญานบรรพบุรุษมันได้สั่งลูก-สั่งหลานไว้แล้วว่า อย่าซ่าเที่ยวยกทัพบุกเข้ามาระบาดในไทยอีกเป็นอันขาด

อีกประเภทคือ “หอยเชอรี่” เป็นหอยทากน้ำจืด แหล่งกำเนิดอยู่อเมริกาใต้ ไทยเห็นแก่ได้บางคน นำเข้ามาเลี้ยงเป็นหอยประดับตู้ปลา

เบื่อ…ก็เอาไปทิ้งลงน้ำ!
มันก็เลยเพาะแพร่ขยายพันธุ์ เป็นกองทัพหอยเชอรี่ เชื้อชาติเมริกาใต้ สัญชาติไทย บุกเข้าท้องนา ข้าวในนา เป็นไร่ๆ พรึ่บเดียวเกลี้ยง

โรยสารเคมีปราบ มันตายมั่ง ไม่ตายมั่ง แต่ชาวนา คนกินข้าว นั่นละที่ตายแน่

ก็เปลี่ยนวิธี จับมาทุบเป็นอาหารเป็ด-อาหารไก่ นัยว่าทำให้ไข่แดงดี แต่วิธีนี้ ยังสยบให้หอยเชอรี่ให้ราบคาบไม่ได้

ขึ้นชื่อว่า “หอย” มันต้องกินได้ซีน่า นี่คือ ปรัชญาการกินของคนไทย อีกทั่งไม่เคยปรากฎ กินหอยแล้วตาย

ดังนั้น จึงมีคนนำไปลวก-ไปต้ม จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดบ้าง พลิกแพลงเป็นตำแซ่บหอยเชอรี่บ้าง

เออ…เข้าท่า ยิ่งลวก จิ้มน้ำจิ้มแซ่บๆ ด้วยแล้ว กรึ๊บกรั๊บ ม่วนลิ้น อร่อยแท้ ยิ่งกว่าหอยหวานซะอีก!

พอรู้ว่า “หอยเชอรี่” กินได้ เท่านั้นแหละ เชอรี่ก็ราบพนาสูร ถึงไม่ราบ แต่ก็สิ้นสภาพหอยกำแหงหาญระบาดในเมืองไทย

ผมถึงว่า “ไอ้เลี่ยนคางดำ” นี่ก็เหอะ

ซ่าผิดที่ถึงถิ่นไทย ตอนนี้คนไทยยังแหยงๆคำว่า Alien Species กึ่งอยากกิน แต่ก็ยังกึ่งกลัว
รอซักพักเถอะ พอแน่ใจว่า ป.ปลา กินได้ ละก็

มึงอย่าหนี หรือไปลบสีดำที่คางหลบเชียวนะ เดี๋ยวพวกกูจะล่าไปทำปลาป่น ทำน้ำปลา ทำปลาร้า ปลาแดดเดียว

ทำน้ำยาขนมจีน ทำลูกชิ้นปลา ทอดมันไอ้คางคำ ทำปลาเผา ปลาทอด เมี่ยงปลา ฉู่ฉี่ปลา ต้มแซ่บ ไส้กรอกอีสานปลาคางดำ

รุมกระหน่ำ หม่ำกันยกประเทศพักเดียว ไอ้เลี่ยนคางคำ ก็จะสูญพันธุ์ เหมือนปลาแขยง ปลาอีกง ที่สมัยหนึ่ง เกี่ยงว่าปลากินขี้

แต่ทำฉู่ฉี่ ทำปลาตากแห้ง อร่อยนัก ลงท้าย คนไทยกินซะแทบสูญพันธุ์ไปเลย

ยิ่งไข่ปลาแขยงเต็มท้องเป็นพวงๆ ด้วยแล้ว ผัดน้ำมันกับหัวหอมซอย ผัวเมียหย่ากันมาหลายคู่ เพราะอร่อยแล้วอุบไว้คนเดียว ไม่ยอมบอกกัน

“ลูกชิ้นปลา” นี่ คนไทยวันๆ กินลูกชิ้นปลาปลอมไม่รู้วันละกี่ล้านลูก เอาไอ้เลี่ยนคางดำ ส่งโรงงานทำลูกชิ้นปลาอย่างเดียว มันก็เกิดไม่ทันกินแล้ว

ทุกวันนี้ กินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแป้ง แต่บอกว่าลูกชิ้นปลากัน จนกระทรวงศึกษา จะเปลี่ยน ป.ปลา เป็นป.แป้งให้ตรงความหมาย อยู่รอมมะร่อ

คราวนี้ ได้กินลูกชิ้นปลาแท้ๆ ขนมจีนน้ำยาเนื้อปลาแท้ๆ กันซะที

ขอบใจมึงว่ะ…ไอ้เลี่ยนคางดำ!

ที่ไหนไม่ไป ดันทะรุ่ม-ทะร่ามมาวางกล้ามในเมืองไทย มึงก็เสร็จน่ะซี้!

รัฐบาล ฉวยโอกาสเสริม “ซอฟต์ พาวเวอร์” ด้วยเมนูด้วย “ปลาคางดำ” ซัก ๒-๓ เมนู ไปเลย

ประกวด-ประชัน ให้คนชิม แล้วให้ลงคะแนนว่า ของใครจะอร่อยกว่ากัน?

มีคอนโดฯ แสนสิริ หรือไม่ก็ของ เอสซี แอสเสท เป็นรางวัล มอบคนรังสรรเมนู “ไอ้เลี่ยนคางดำ” ที่ชนะเลิศ

๕ แสนล้าน ยังเอา “เงินหลวง” ไปถลุงแจกได้

คอนโดฯ ตัวเองซักห้อง แค่นี้ ยอมให้ไม่ได้

คน ๑๐ ล้านที่เลือก จงบอกซิ แบบนี้ ยังจะเลือกอยู่อีกมั้ย?

เปลว สีเงิน
๑๕ กรกฏาคม ๒๕๖๗

Written By
More from pp
รัฐบาลคาดปี 2566 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดรวม 2.38 ล้านล้านบาท กลับมามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
19 กันยายน 2565- นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า
Read More
0 replies on ““ไอ้คางดำ” รนหาที่ตาย #เปลวสีเงิน”