นายกฯ หารือผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามอียิปต์ เน้นย้ำความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในโอกาสครบรอบ 70 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมกระชับความร่วมมือในด้านการศึกษา และความร่วมมือระหว่างประเทศ

8 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับศาสตราจารย์ ดร. อะห์เมด มุฮัมมัด อะห์เมด อัล-ฏอยยิบ (Professor Dr. Ahmed Mohamed Ahmed El-Tayeb) ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ในโอกาสเยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้

นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามของอียิปต์ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของรัฐบาล (as Guest of the Government) และเป็นการเยือนในโอกาสครบรอบ 70 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับอียิปต์ในปีนี้ด้วย เชื่อว่าการเยือนไทยครั้งนี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งดีขึ้น

ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามอียิปต์กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี และประชาชนชาวไทยที่ได้ต้อนรับคณะที่ได้มาเยือนประเทศไทยอย่างอบอุ่น ยินดีที่ทุกภาคส่วนของไทยได้ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างอียิปต์กับไทยให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น พร้อมหวังว่าไทยและอียิปต์จะร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต รวมทั้งกระชับความร่วมมือให้ครอบคลุมถึงมิติต่าง ๆ มากขึ้น

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ดังนี้

ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีขอบคุณอียิปต์และมหาวิทยาลัยอัล อัซฮัร (Al-Azhar University) ที่มอบทุนการศึกษาให้นักเรียนไทยอย่างต่อเนื่อง และยังได้ขยายทุนการศึกษาไปยังสาขาวิชาสามัญด้วย ซึ่งจะทำให้นักศึกษาไทยสามารถนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศได้ ด้านผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามอียิปต์กล่าวว่า ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยฯ เป็นจำนวนประมาณ 3000 คน

ซึ่งในจำนวนนี้มี 612 คน เป็นผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากไทย โดยอียิปต์ยังได้มอบทุนการศึกษาให้แก่ประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษเป็นจำนวน 160 ทุนต่อปี แบ่งเป็นสาขาศาสนาและอิสลามศึกษาจำนวน 80 ทุน และอีก 80 ทุนมอบให้นักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ ทันตแพทย์ และเภสัชศาสตร์ รวมถึงได้ส่งคณะครูอาจารย์จากอียิปต์ซึ่งในขณะนี้มีประมาณ 18 คน เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาอาหรับและศาสนาให้แก่โรงเรียนศาสนาอิสลามที่มีอยู่ในประเทศไทยด้วย

นอกจากนี้ ไทยและอียิปต์ยินดีที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการทำบันทึกความเข้าใจ สำหรับการพัฒนาศูนย์ภาษาอาหรับกับมหาวิทยาลัยฯ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านภาษาอาหรับแก่นักศึกษาไทยที่ไปศึกษาต่อที่ประเทศอียิปต์ โดยไทยเห็นความสำคัญของการสื่อสารภาษาอาหรับ เพราะไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ด้านอียิปต์พร้อมร่วมมือกับไทยในการเปิดศูนย์พัฒนาภาษาอาหรับ ซึ่งเชื่อว่าโครงการที่มีประโยชน์สำหรับนักศึกษาไทย

ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามอียิปต์กล่าวชื่นชมบทบาทนายกรัฐมนตรี และประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องถึงการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อความมั่นคงและสันติภาพที่ยั่งยืน ด้านนายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า

ไทยวางตัวเป็นกลาง และสนับสนุนแนวทางสองรัฐ(two-State solution) และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความพยายามในการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและสันติ พร้อมขอบคุณอียิปต์ที่ช่วยเป็นตัวกลางการเจรจาเพื่อให้ปล่อยตัวประกันชาวไทย และขอรับความสนับสนุนจากฝ่ายอียิปต์ต่อไปในการเจรจา เพื่อช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยที่เหลืออยู่

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พิจารณามอบเงินบริจาคเป็นจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่สภาเสี้ยววงเดือนแดงของอียิปต์ (Egyptian Red Crescent) เพื่อสนับสนุนการดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนปาเลสไตน์ โดยจะส่งมอบเงินผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ต่อไป ด้านอียิปต์กล่าวขอบคุณรัฐบาลและประชาชนไทยที่ได้บริจาคเงินดังกล่าว พร้อมเห็นพ้องกับนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหา และพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างสันติและยั่งยืน

Written By
More from pp
สนธิกำลัง รื้อถอนทะลายคันดินบ่อเลี้ยงกุ้งป่าชายเลน สตูล
18 พ.ค.63 กรม ทช. โดยสำนักงาน ทช.ที่๗ (ตรัง) สนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรื้อถอนทะลายคันดินบ่อเลี้ยงกุ้งซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
Read More
0 replies on “นายกฯ หารือผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามอียิปต์ เน้นย้ำความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในโอกาสครบรอบ 70 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมกระชับความร่วมมือในด้านการศึกษา และความร่วมมือระหว่างประเทศ”